หมีบางกอก

 อภิมหาโคตะระซูเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวล ก็ได้ฤกษ์เบิกกระแชงปิดฉาก Infinity War กันเสียที ซึ่งนั่นหมายถึงเป็นบทสรุปของฮีโร่ตัวสำคัญหลายตัวที่ผูกเรื่องราวผ่านกันมาใน Marvel Cinematic Universe (MCU) หรือจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลถึง 22 เรื่องด้วยกัน ด้วยมหากาพย์รวบยอด Avengers: Endgame บรรดาแฟนคลับที่รอด้วยใจจดจ่อข้ามปีก็จะได้ “ฟิน” กันสุดๆ สักที ด้วยความยาวกว่าสามชั่วโมงของหนังที่ไร้เบรก Intermission ณ วินาทีครบ หนึ่งสัปดาห์ Endgame ก็ฟันไปแล้วกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ บ้านเราก็ไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงศักยภาพของ ภาคแรก Infinity War ที่วางหมากไว้ แยบยลชนิดที่คนดูต้องตามติดมาไขปริศนากันถล่มทลาย 

 ทั้งๆ ที่ตัวอย่างหนัง Endgame นำเสนอแบบ ไม่ได้เผยอะไรมากมาย อมพะนำอึมครึมไม่บอก อะไรชัดเจนแบบไม่แคร์คนดูใดๆ ทั้งสิ้น คือถ้าเทียบ เป็น Trailer หนังระดับบล็อกบัสเตอร์ทั่วๆ ไป ก็ต้องถือว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ได้เรื่องไม่เร้าใจให้ชวน ติดตามอะไรทั้งสิ้น แต่นั่นเพราะผู้สร้างมั่นใจใน กระแสความดังต่อเนื่อง ก็เลยแค่เผยโฉมมาพอ แหย่ๆ ความอยาก ก็คิดว่าเพียงพอแล้ว ข้าพเจ้าเอง ก็อยู่ในข่ายผู้ตกเป็นเหยื่อของ MCU นี้เช่นกัน ยังไงก็อยากรู้ว่าทีมอเวนเจอร์สจะแก้เกมระดับ ตายกันทั้งกาแล็กซี่นี้ได้อย่างไร? 

ตกลงปลงใจลงทุนซื้อตั๋วไอแม็กซ์มันซะเลย ไหนๆ ก็คุยนักคุยหนาว่าถ่ายด้วยกล้องไอแม็กซ์ ทั้งเรื่อง (ซึ่งจะทำให้ได้สัดส่วนบนล่างเพิ่มขึ้นมา พอสมควรให้ลงตัวกับจอขนาดยักษ์) พลันก็รู้สึกว่า เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ออกจะเอาเปรียบคนดูสักหน่อยหรือเปล่ากับราคาตั๋วของไอแม็กซ์ที่พารากอน แพงเวอร์กว่าโรงไอแม็กซ์ที่อื่นๆ ข้าพเจ้าก็พยายามทำใจว่าคงเพราะนำฟิล์ม 70 มม. มาฉายเป็นต้นฉบับ ไม่ได้ใช้ระบบดิจิทัล Real D เหมือนโรงสามมิติทั่วๆ ไป ซึ่งเคยทำให้รู้สึกผิดหวังกับความมอซอทึมๆ จากหนังอะควาแมนมาแล้ว ด้วยเหตุที่ยังจำได้สมัยกระโน้นเมื่อครั้งฉายทรานส์ฟอร์เมอร์ภาคก่อนๆ หรือ อวตาร ก็ทำให้ประทับใจกับความ สว่างใส โดยใช้กับแว่นไอแม็กซ์รุ่นเก่าอันโตมาแล้ว 

แต่ปรากฏว่าแว่นสามมิติที่แจกในครั้งนี้ ก็ไม่ได้ต่างไปกับแว่น Real D ที่ใช้ในโรงสามมิติทั่วไป ข้าพเจ้าก็นึกหวาดๆ ว่าในที่สุดจะต้องดูอะไร มืดๆ ทึมๆ ชวนง่วงอีกหรือไม่ ซึ่งในที่สุดมันก็เป็น ตามนั้น! เทียบไม่ได้เลยกับไอแม็กซ์เมื่อหลายปีก่อน แถมในช่วงต้นของเรื่อง Endgame ท่านก็เล่าเรื่อง ดราม่ายืดยาวของแต่ละตัวละครกันแบบไม่เกรงใจคนดู แน่นอนที่ความมัวซัวของภาพและหนังชีวิต รันทดของซูเปอร์ฮีโร่ย่อมทำให้แฟนคลับอย่างข้าพเจ้าแอบงีบไปไม่รู้ตัวอยู่ช่วงหนึ่ง ก็เลยเกิดความรู้สึกผิดหวังอย่างฉกรรจ์กับระบบการฉาย ซึ่งสงสัยว่าน่าจะเป็นดิจิทัลไอแม็กซ์เหมือนกับโรงรองอื่นๆ ที่ไม่ได้สว่างใสเหมือนการฉายสอง เครื่องด้วยระบบฟิล์ม 70 มม. จะยังคงคุณภาพอยู่ก็คือ ระบบเสียงที่เหนือกว่าโรงธรรมดาเท่านั้นเอง 

โชคยังดีที่ไม่รู้สึกต้องวิ่งเข้าห้องน้ำกลางเรื่อง ด้วยเหตุที่ สว. มักจะมีอาการต้องชิ้งฉ่องกันเป็นกิจวัตรมากกว่าปกติ แต่เรื่องนี้กลับมิเป็นอุปสรรค ดังที่คิดกับเวลายาวนานกว่าสามชั่วโมง หนังได้เล่าเรื่องราวการรอดชีวิตของเหล่าอเวนเจอร์สที่หลงเหลือและความเปลี่ยนแปลงทางมิติของอารมณ์ และร่างกาย ยกตัวอย่าง ธอร์ ที่ถูกเอามายำซะหุ่นเป็นถังเบียร์! (ทำไม ธอร์ ต้องมาเป็นเหยื่อกับมุกตลกอุบาทว์อันนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น เขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะมีปัญหากับสุขภาพจิตอะไรมากมาย ซึ่ง ฮัลค์ เจ้ายักษ์เขียวขี้โมโหซะอีก ที่มีแนวโน้มอาการจะแย่กว่าคนอื่น) ส่วน โทนี่ สตาร์ค ก็บ่นบ้าทำตัวดราม่า Frustrated อะไรก็ไม่รู้ ทั้งๆ สมควรจะมีเหตุผลกว่าคนอื่นด้วยวัยวุฒิ คนอื่นเขามิทุกข์กว่า เพราะลูกเมียหายเกลี้ยง แต่เขายังมีเปปเปอร์ ว่าที่ภรรยาอยู่ข้างกาย แต่ที่เด็ดกว่าคือ บรูซ+ฮัลค์ ผสมพันธุ์กันออกมาเป็นตัวประหลาดด้วยเหตุผลที่ฟังดูขำๆ นับเป็นการรักษาอาการทางจิตผสมทางกายแบบไม่ต้องพึ่งจิตแพทย์ หรือว่า มาร์ค รัฟฟาโล อยากมีบทดูเป็นมนุษย์กะเค้ามั่ง? เพราะรับบทเป็น “ฮัลค์” สติแตกมานานเกินพอแล้ว ผลที่ได้รับคือ ได้ยักษ์ตัวเขียวอารมณ์ดี มีมารยาท ไม่บ้าทุบเข้าของ เป็นซูเปอร์ฮีโร่สายพันธุ์ใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาอีกตัว

สองผู้กำกับพี่น้อง รุสโซ บรรเลงมุกพรมไปทั่วเรื่องตามความถนัด มองในแง่เอาอารมณ์ขันมาเบรกความดราม่าลงบ้างก็พอรับได้ แต่อีตอนเอามามั่วเรื่อง Timeline ของการย้อนเวลานี่ ไม่ค่อยเก็ต น่าจะเป็นเพราะทางแก้อิทธิฤทธิ์ของ Infinity Stones นั้น มันมีทางเดียว คือต้องย้อนเวลากลับไปแก้ที่ต้นตอ ครั้นจะผูกผลสะท้อนแบบ Butterfly Effects เหมือนทฤษฎีการเดินทางข้ามเวลาทั่วไป คือ ผลพวงจากการบิดเบือนอดีต ย่อมมีผลต่อทุกเหตุการณ์ในอนาคตที่บังเกิดขึ้น คราวนี้หากต้องดำเนินตามรอยทฤษฎีเช่นนั้น ทุกอย่างมันจะต้องยุ่งขิงยิ่งกว่าลิงแก้แห คนเขียนบทและผู้กำกับเลยต้องออกมาสตอกันใหม่กับทฤษฏีเวลาที่แยก Timeline แต่ละเหตุการณ์ออกไป…ไม่นำมาผูกกัน

โดยมีบทเสียดสีเม้าท์ถึงหนังย้อนเวลาเรื่องอื่นๆ อย่าง Back to the future ว่าเป็นทฤษฎีที่ผิดเพี้ยนไม่เป็นความจริง ตกลงก็เลยตั้งทฤษฎีใหม่ขึ้นมาซะเลย โดยอ้างทฤษฎีควอนตัมเป็นหลัก คนดูก็ไม่ได้เป็นนักฟิสิกซ์ควอนตัมกันมา ดูไปก็ต้องทำใจเชื่อตามที่ตัวละครว่าไป… แค่ตามเรื่องให้ทันก็เวียนเฮดจะแย่อยู่แระ 

ตัวละครบางตัวอย่าง วิชั่น หรือ กามอรา ที่ต้องตายไปในภาค Infinity War แล้วไม่สามารถย้อนเวลาไปช่วยชีวิตคืนมาได้นั้น ดูเป็นเรื่องที่เง็งๆ อยู่ เนื่องจาก แธนอส ในตอนนั้นได้ใช้มณีกาลเวลา ย้อนเหตุการณ์เอาชีวิต วิชั่น กลับมาแย่งชิงมณีบนหน้าผากไปได้ เรื่องนั้นทำไมถึงยังทำได้? แล้วทำไมตอนนี้เกิดจะทำไม่ได้ คิดไปคิดมามันย้อนแย้งอยู่พิกล 

ฉากอภิมหาสงครามของสองโลกนับเป็นไฮไลต์สำคัญ ความยิ่งใหญ่เรียกว่า Lord of the Ring หรือ Hobbit ต้องชิดซ้าย แต่ถ้าเทียบความลงตัวแล้ว Endgame ดูจะทำได้ลำบากไม่น้อย ด้วยความยากในการกระจายบทซูเปอร์ฮีโร่แต่ละตัว เริ่มจากโฟกัสกับสามฮีโร่อย่าง ธอร์ กัปตัน และ ไอออนแมน ซึ่งเปิดศึกกับ แธนอส อย่างดุเดือด โดยที่ แธนอส ขณะนั้นยังไม่ได้ถุงมือมณีทั้ง 6 แต่ก็ยังเอาไม่อยู่ (แปลกมะ?) โดยเฉพาะ โทนี่ สตาร์ค หมดสภาพไปดื้อๆ ก่อนเพื่อน ซึ่งก็น่าประหลาดที่วางบทไว้อย่างนั้น ธอร์ ก็ไม่ได้เรื่อง ทั้งๆ ที่สมัย Infinity War เป็นหัวหอกในการใช้ขวานสตอร์มเบรกเกอร์ฟาดฟันกับ แธนอส (ซึ่งมีถุงมือ Infinity Gauntlet) จนต้องหนีข้ามมิติ แต่คราวนี้ ธอร์ กลับโดนอัดจนน่วม? กลับกลายเป็นกัปตันอเมริกา ที่ได้พลังสายฟ้าจาก ธอร์ และใช้ค้อนของ ธอร์ ได้แทน (งงไหม?) มาคอยรับมือกับ แธนอส จนหยดสุดท้าย (แบบสะบักสะบอม) อันนี้เน้นความเป็นพระเอกหัวแถวเวอร์สุดๆ ฮัลค์ ยิ่งไม่มีบทบาทถูกดองอยู่ใต้ตึกถล่ม ทั้งๆ น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดียิ่ง กลับถูกดึงบทจนหายไป (คงเพราะแขนเจ็บจากดีดนิ้วถุงมือมณีทั้ง 6 มาก่อนกระมัง หุๆๆ) 

ส่วนช่วงหลังที่ ดร.สเตรนจ์ พากองทัพซูเปอร์ฮีโร่เข้ามาช่วยทันเวลา ก็มีเหตุให้แปลกใจที่ แธนอส กลับถูก สการ์เลต วิทช์ ยำใหญ่ซะแทบเป็นชิ้นๆ นางเอาพลัง (ความแค้น) มาจากไหน ชนิดที่ลำหน้ากัปตันมาร์เวล? ส่วนกัปตันมาร์เวลถูกวางตัวให้มาช้า… ตามระเบียบ แถมอยู่ดีๆ ถูก แธนอส แกะมณีเขวี้ยงใส่กระเด็นไป (มีอะไรยังงี้ด้วย?? บินกลับมาเร็วๆ หน่อยก็ได้นะเจ๊…) จริงๆ ช่วงท้าย ถ้าสองนางร่วมมือกันถล่ม แธนอส ยักษ์ใหญ่ก็ไม่น่าจะมีทางรอด หากมัวแต่ปล่อยให้ปะทะกันมั่วซั่ว กระเด็นกันไปทีละคนสองคน มันจะจบตรงไหน คือเรียกได้ว่าเป็นการรบไร้ตำราพิชัยสงครามซุนวูโดยสิ้นเชิง กัปตันเมกาจอมทัพหายไปไหนก็ไม่รู้ ปล่อยลูกทีมใส่กันเข้าไปมั่วซั่ว ดูไปก็ต้องปล่อยใจกันไป สิ่งที่ต้องยอมรับคือ ฉากซีจีวิชวลเอฟเฟ็กต์ช่วงต่อสู้ทำได้ถึงลูกถึงคนดี ยิ่งดูในโรงไอแม็กซ์ก็จะได้แรงประสานของ Sound effect สร้างอารมณ์ตื่นเต้นได้ดีเยี่ยม 

อาศัยที่จังหวะต่อสู้มันพัลวัลต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน คนดูต้องพยายามติดตามให้ทัน ฉากคอมพิวเตอร์กราฟฟิกซับซ้อนพวกนี้ต้องดีไซน์ล่วงหน้าละเอียดยิบเป็นช็อตๆ ถ้าบทเขียนไว้ไม่รองรับแรงจูงใจต่อเนื่องไว้ดีๆ มันก็จะรู้สึกกระโดดเป็นช่วงๆ หากแต่ Endgame นี้ต้องยอมรับว่าจังหวะจะโคนของภาพออกแบบลื่นไหลได้ดีไม่น้อย ช่วยเกลื่อนๆ ความน่าจะเป็นในมุมอื่นของบทหนังไปได้ บางซีเควนซ์อย่างช่วงที่ช่วยกันนำถุงมือมณีหนี แธนอส ไปยังอุโมงค์ควอนตัม ถ้าลองมาคิดๆ ดูก็ไม่รู้จะหนีทำไม… ฮีโร่ทุกตัวควรร่วมมือกันถล่มมันพร้อมกันก็น่าจะ “เอาอยู่” ส่วนกองทัพลูกสมุน แธนอส ก็ปล่อยให้ทีมจอมขมังเวทย์ หรือกองทัพวาคานดา รับมือแทนก็ได้นี่นา? Worst-case scenario อเวนเจอร์ส คนที่ทรงพลังที่สุดก็น่ายอมสละชีพเพื่อชาติสวมถุงมือ Infinity Gauntlet ประจันหน้า แธนอส ยอมดีดนิ้วแลกหมัดให้รู้ดีรู้ชั่วไปเลย ไม่ต้องมาหัวซุกหัวซุนไม่เป็นขบวนอยู่เช่นนี้ ถ้าทำการบ้านกับบทภาพยนตร์ให้มันดีๆ ดูสมเหตุสมผลกว่าที่เป็นอยู่ ก็จะทำให้สถานการณ์ตื่นเต้นชวนลุ้นได้เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ฉากที่อยากให้ไอออนแมนทำตัวเสียสละแบบตกกระไดพลอยโจนก็น่าจะสมจริงได้มากกว่านี้

การที่วางบทให้ ไอออนแมน มารูดมณีจากมือ แธนอส ไปแทนนั้น เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายอยู่ไม่น้อย ไม่มีวี่แววว่านางจะเป็นมือย่องเบาอะไรได้ขนาดนั้น ดึงมณีจาก Infinity Gauntlet ที่สร้างมาพิเศษเนี่ยนะ โทนี่ใช้แค่ถุงมือไอออนแมนก็รูดมณีเอามาได้ง่ายๆ จากถุงมือของจริง ยังงั้นเหรอ?? ตกลงตอนข้าพเจ้าเผลอหลับไปตอนต้นเรื่อง โทนี่ ประดิษฐ์อะไรแบบนี้ไว้ด้วยหรือ? ที่สำคัญ ยังเอามาดีดนิ้วใช้งานแบบเดียวกับถุงมือของจริงได้อย่าง ชิลๆ อันนี้เล่นเอาข้าพเจ้าเคว้งไปเคว้งมาอยู่ไม่น้อย

เรื่องที่ไม่เข้าใจที่สุดคือ ดร.สเตรนจ์ มัวแต่ไป กั้นน้ำตกอยู่ทำไม (ฉากน้ำทะลักนี่ไม่มีปี่มีขลุ่ย นึกจะโผล่ก็โผล่มา) ลูกสมุนอีกมากมายที่ทำได้ ทำไมไม่ระดมเรียกมา ตัวเองมาช่วยจัดการขาใหญ่อย่าง แธนอส มิดีกว่าหรือ? แถมยังมีเวลามาทำเท่ ชูนิ้ว (โชคดีไม่ใช่นิ้วกลาง 555) ส่งซิกแนลกับ ไอออนแมน (ประมาณว่าสั่งให้ไปตาย อั้ยย่ะ…) ขณะที่ตัวละครที่ทรงพลังตัวแม่อื่นๆ อย่าง สการ์เลต วิทช์ หายไปเฉยๆ ในตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน แล้ว กัปตันมาร์เวล ล่ะ นางยังมัวมึนอยู่หรือไง… หาทางบินกลับมาไม่ถูก ธอร์ ก็มัวไปเมาเบียร์อยู่ที่ไหน มีขวานฟ้าซะเปล่า กัปตันก็มีค้อนสายฟ้าอยู่นะ ยกมือมันก็บินกลับมาหาแร้ว ฮัลค์ ก็ไม่ยอมเผชิญหน้า แธนอส จังๆ ซักที กลัวอะไร?… ไม่…ไม่นะ เกิดอะไรกันขึ้น ทุกคนแอบรวมหัว แกล้ง โทนี่ สตาร์ค หรือไง? 

ประเด็นสำคัญตอนไคลแม็กซ์ต้องใส่ใจมากกว่านี้ ทั้งผู้กำกับและผู้เขียนบท เพราะคุณกำลังพยายามจะวางหมากให้ ไอออนแมน เป็นฮีโร่ตัวเอ้ที่จะปิดฉากทั้งหมดทั้งมวลแบบประทับใจคนดู แต่ Motive กลับอ่อนเกินและดูไม่แรงพอ การปูเหตุผลในช่วงต้นเรื่องกับตัวโทนี่เป็นเรื่องสำคัญแทนที่จะเสียเวลากับบทดราม่าพร่ำพรรณนา น่าจะหันมาให้เวลากับลางบอกเหตุ ของเขา คำทำนายของ ดร.สเตรนจ์ และชะตากรรม ที่จะบังเกิดขึ้นว่า มันผูกพันกันยังไง ดีกว่าไปเสียเวลากับมุกเฮฮาของตัวละครอื่น แรงกระตุ้นให้กลับไปสู้น่าจะมีมากกว่าแค่ได้เห็นภาพตัวเองกับ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ..บลาๆๆ 

แล้วท้ายสุดยังต้องมามีดราม่าอีก “เยอะ” กับ ฉากตายของโทนี่ ฉากฉายบันทึกวิดีโอ ฉากงานศพ โทนี่ ลากกันเข้าไป เดินออกมานอกโรงแล้วยังไม่รู้ เลยว่า ทำไมทุกอย่างต้องมาลงเอยกับ โทนี่ สตาร์ค ทั้งๆ คนอื่นที่พร้อมกว่าและทรงพลังกว่า พร้อมจะมาร่วมตะลุมบอน หรือไหนๆ โรเบิร์ต ดาวน์นี่จูเนียร์ ก็หมดสัญญาพอดีนิ ค่าตัวก็แพงคอดๆ กำจัดซะได้เป็นการดี 555… 

นี่ยังไม่รวมความ มึนที่ได้เห็น สตีฟ รอ เจอร์ กัปตันอเมริกา กลับมาแก่งั่กนั่งจุ้มปุ๊ก อยู่นอก Time machine แถมสตีฟยังส่งต่อมรดก โล่กัปตันเมกาให้ แซม สวมบทเป็นกัปตันตัวดำแทนอีกตะหาก (จะไหว ไหม แซมเป็นแค่คน ธรรมดาที่ใส่อุปกรณ์ ปีกบินนะจ๊ะ?) 

ส่วนเรื่อง Timeline ใหม่ทิ้งท้าย ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ ควิลท์ สามารถเปิดแผนที่ตามเซฟชีวิต กามอรา ได้อีกหรือไม่ เพราะอยู่ๆ นางก็หายจากเรื่องไปเฉยๆ ไม่บอกไม่กล่าว จริงๆ ตั้งแต่ตอนนางตกเขาตายไปก่อนหน้ารอบนึงแล้ว ยังย้อนอดีตกลับมามีชีวิตได้ แล้วตอนนี้จะมาสลายเป็นผุยผงอีกรอบตาม แธนอส ไปหรือไง? โอเครๆ… ตกลงคนละ Timeline ใช่ไหม ตามประสาสูตร มาร์เวล ไม่มีผลกับ Butterfly Effects ถ้ายังงั้น นาตาชา ซึ่งตกเขาตายไปแล้ว ก็มีสิทธิ์คืนชีพเหมือนกันใช่ไหม? แต่คงจะยากแหละ เพราะนางก็หมดสัญญากับมาร์เวลแล้ว เช่นเดียวกับ ธอร์ และ กัปตันอเมริกา ซึ่งพอเห็นชะตากรรมลางๆ เช่นกัน แล้วว่าจะลงเอยยังไง 

บ่นๆ กันมายืดยาวนี่มิใช่ว่า Endgame จะ End ไปหมดซะทุกเรื่อง หากในความสับสนวุ่นวายของการนำเสนอ สองพี่น้องรุสโซ ผู้กำกับก็ยังทำหน้าที่ของเขาได้ดีอยู่ เขารู้จักใช้จังหวะในการเล่าเรื่องและมุกสารพันในการนำตัวละครฮีโร่มาแซวเล่นให้เป็นที่บันเทิงอย่างได้ผล คนดูทั้งหน้าใหม่ หน้าเก่าก็ยังคงสนุกสนานกับตัวละครที่ชื่นชอบ ส่วนผู้ชมที่ซีเรียสบางท่าน (เช่นข้าพเจ้า) ถึงจะไม่ชอบใจกับความสนุกเลยเถิด หรือดราม่าจนเว่อร์วัง ไปบ้าง ก็ต้องทนๆ เอาหน่อย ตามประสายุคสมัยที่มันเปลี่ยนไป ฤาเพราะเขารู้ว่าผู้ชมยุคนี้จะดูหนังกันแบบผ่านๆ ตามสูตรฮอลลีวู้ดเช่นนี้เป็นกิจวัตร? 

ส่วนในช่วงแรกของหนัง Endgame ที่ทุ่มเวลาไปกับดราม่ารันทดของตัวละครหลักๆ ผสมผเสกับมุกเบาสมองแทรกมาเป็นช่วงๆ ก็คง เพราะตามสูตรมาร์เวลมาแต่ไหนแต่ไร มักจะพยายามสร้างตัวตนของซูเปอร์ฮีโร่ให้มีชีวิตชีวา ดังคนธรรมดาเขาบ้างโดยมีแง่มุมดาร์คๆ ทำให้ คนดูรู้สึก “อิน” กับตัวละครเหนือมนุษย์พวกนี้มากขึ้น ประมาณสัมผัสจับต้องได้ ขนาดยอมเอา ธอร์ เทพเจ้าตัวเอก มาปู้ยี่ปู้ยำซะขนาดนี้ 555 จนทำให้ข้าพเจ้าเริ่มงุนงงว่า ตกลงจะเก็บตัวละครนี้ ไว้ไหม เพราะยังไงก็เป็นตัวละครคลาสสิกของมาร์เวลตั้งแต่สมัยข้าพเจ้ายังตัวกะเปี๊ยก แม้กระทั่งบทของ ฮัลค์ ก็ยังโดนเอามายำซะกลายสภาพเป็นยักษ์หน่อมแน้ม นึกไม่ออก เหมือนกันว่า ฮัลค์ เวอร์ชั่นต่อไปจะกลายพันธุ์ไปถึงไหน นึกย้อนหนังต้นกำเนิดของ ฮัลค์ จนจำแลง แปลงกายมาเป็นเวอร์ชั่น Endgame นี้ เล่นเอาจำแคแรคเตอร์เดิมแทบไม่ได้ ไม่รู้จะทำให้ตัวละคร ฮัลค์ ต้องจบข่าว End ไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่ทราบ 

ฉากสงครามตะลุมบอนในช่วงหลังประหนึ่ง เป็นรายการชดเชยครึ่งแรกของหนังที่ปูพื้นดราม่า ซะคนดูหลายรายแอบครอกฟี้กันไปแถวๆ ก็นับได้ ว่าตูมตามถูกใจพระเดชพระคุณแฟนคลับกันไม่น้อย (แม้อดไม่ได้จะต้องมีฉากดราม่าทำซึ้งใส่กัน เป็นยาดำอย่างฉาก ไอออนแมน กลับมาเจอกันใน สนามรบกับ สไปเดอร์แมน หรือ ควิลท์ มาเจอกับ กามอรา ภาคคืนชีพ ฯลฯ เข้าตำรารักระหว่างรบ พบกันท่ามกลางห่ากระสุนปลิวว่อนอะไรทำนอง…) หากดูจาก Feedback ของคนดู ส่วนใหญ่ก็จะไหลตามอารมณ์ของหนังได้ดังคาด มิฉะนั้นคงถูกคอมเพลนกันกระหน่ำไม่ทำรายได้กันถล่มทลายขนาดนี้

แม้จะได้ติดตามบทสัมภาษณ์ของตัวผู้กำกับเองที่พยายามตอบคำถาม 16 ประเด็นในหนัง แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างอะไรสักเท่าไร เหมือน กับวิธีนำเสนอของเขาในหนังนั่นแหละ บ่งบอกวิธีคิดแบบไม่ค่อยชัดเจนอยู่ไม่น้อย ดูเรื่องการย้อนเวลาก็พอจะเดาได้ ถึงหนังมหากาพย์ เรื่องนี้ทุนทรัพย์โปรดักชั่นจะอลัง จะวาดซีจีหรูหรา เว่อร์วังขนาดไหนก็ได้ แต่รายละเอียดซับซ้อนแบบไซไฟย้อนเวลาก็ใช่จะเคลียร์ได้ง่ายๆ ยิ่งเมื่อยานบินลำเบ้อเร่อเบ้อร่าของ แธนอส บินผ่าน Time machine (ซึ่งขนาดเล็กกระจิ๋ว ถ้าเทียบกัน แล้ว) มาได้ โดยไม่มีสัญญาณใดๆ เตือน… ก็นับว่า หลุดโลกตามสมควร เข้าตำรา ฯลฯ ไว้ให้คนดูเข้าใจ (เอาเอง) ว่า แธนอส ย่อยานตัวเองแบบเดียว Ant Man ได้…ชิมิ 

ในฐานะผู้ชมหนังภาคต่อ Endgame ก็จบ เรื่องในตัวของมันได้ไม่เลว อย่างน้อยคนดูก็อิ่มเอม จากความคาดหวังได้ตามสมควร หลายคนออกมา วิพากษ์วิจารณ์ในมุมชื่นชมกันยกใหญ่ ประมาณว่าไม่มีที่ติ นั่นก็อินกันเกินไปไหม ประมาณทำให้ แฟนคลับ “ฟิน” ได้ ก็ใช่จะหมายว่าสมบูรณ์แบบ ในมุมของคนทำหนังก็มองได้อีกหลายมุม เป็นบทเรียนของการผลิตหนังสเกลใหญ่ยักษ์ที่ เพียบพร้อมระดับโลก ถ่ายทำได้อย่างเนี้ยบด้วย ระบบไอแม็กซ์ ได้ดาราดังที่มีความสามารถเล่น เข้าขากันได้ดีเยี่ยม หนังที่น่าจะดูลงตัวอย่าง เพอร์เฟ็ก แต่…กลับยังมีประเด็นหลวมๆ แฝงอยู่ ในเนื้อหนังอย่างหลีกไม่พ้น ขนาดผู้กำกับสามารถ นำเสนอระดับ Director’s Cut ใส่เข้าไปเต็มๆ ร่วมสามชั่วโมงกว่า เล่นของยากมันก็ท้าทาย เช่นนี้แหละ 

ส่วนแฟนคลับทั่วไปซึ่งชื่นชมสมฤดีแดกัน ถ้วนทั่ว ก็จะไม่ไปขัดคอ Level ของการชมมันย่อม แตกต่างกันโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะในแง่สายผู้ชมทั่วไป กับสายอาชีพ ยังไงทุกคนก็ยังเป็นแฟนคลับขาประจำของ MCU ตามดูมันทุกๆ เรื่องกันไป อยู่ดี…ใช่ไหม… VDP

นิตยสาร AUDIOPHILE VIDEOPHILE ฉบับที่ 268