จาก Watt มาสู่ Sasha DAW เพื่อระลึกถึงผู้ที่เริ่มต้นทั้งหมด

สวัสดีครับ ช่วงนี้ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ผมก็ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าไว้ก่อนเลยนะครับ ช่วงนี้ผมก็ปั่นงานยาว แต่ก็ยังพอมีโอกาสได้แวะไปชมอะไรใหม่ๆ ในวงการมาอัพเดตให้ฟังบ้างครับ งานนี้ผมก็จะขอพูดถึงลำโพงที่โด่งดังที่สุดในเมืองไทยรุ่นหนึ่งที่พอเริ่มจะเล่นลำโพงระดับ high end ก็มักจะกล่าวถึงเป็นตัวแรกๆ กัน ซึ่งก็คือลำโพง Wilson รุ่น Sasha DAW ที่เปิดตัวรุ่นพิเศษเพื่อรำลึกถึง David Andrew Wilson (หรือเรียกสั้นๆ ว่า Dave) ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ได้จากโลกนี้ไปหลังงานเครื่องเสียง Munich ที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้

ก่อนที่จะพูดถึงลำโพง Wilson Sasha DAW ผมขอพูดถึงที่มาของลำโพง รุ่นนี้ก่อนนะครับ ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไรจนมาถึงรุ่น Sasha DAW ในทุกวันนี้ ในปี 1985 คุณ Dave ได้ออกแบบลำโพง Watt ไว้ใช้งานเอง ซึ่งตอนนั้นเขาทำงานเป็น record engineer และต้องการลำโพงที่สามารถ ขนไปไหนมาไหนได้ ในตอนนั้นก็มีลำโพง Wilson รุ่น่WAMM ออกมาแล้ว คุณ Dave จึงอยากได้ลำโพงที่สามารถขนไปทำงานบันทึกเพลง แล้วได้เสียง เหมือนเล่นสดได้อย่างที่เขาต้องการ

WATT แจ้งเกิดในงาน CES 1986

Mr.Dave Wilson

เนื่องจาก Watt เป็นลำโพงที่ออกแบบมาไว้ใช้งานเองจึงมี concept และ แนวเสียงที่ไม่เหมือนกับลำโพงที่มีในตลาดแต่อย่างใด Watt เป็นลำโพงที่ใช้ งบประมาณในการสร้างสูงมาก โดยเฉพาะตู้ลำโพงที่ใช้วัสดุที่ไม่มีใครนำมาทำ ลำโพงมาก่อน ทางคุณ Dave เองจึงไม่คิดว่าจะมีลูกค้าที่สนใจซื้อลำโพงขนาดเล็ก แบบ Watt ที่ราคาสูงถึง $4,400 USD แต่แล้วก็มีโอกาสได้แจ้งเกิดแบบไม่คาดคิด ในงาน CES ปี 1986 ซึ่งตอนนั้น คุณ Sheryl Lee Wilson ได้เปิด Watt ในห้องโชว์ ข้างๆ ชุด WAMM เพื่อใช้เปิด demo แผ่นเสียงในงาน ก็มี dealer และ distributor หลายคนสนใจอยากจะนำ Watt ไปขายในร้านของพวกเขา

แม้คุณ Sheryl Lee บอกว่าลำโพงนี้ไม่ได้ทำไว้ขาย เพราะเป็นลำโพงไว้ ใช้นอกสถานที่ส่วนตัวของ Dave แต่ทางผู้นำเข้าก็ขอให้ Dave ทำลำโพงรุ่นนี้ ขายสำหรับตลาดเครื่องเสียงบ้านได้ หลังจากที่ได้ไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ Dave ก็ได้ออกแบบ Woofer ชื่อว่าPuppy มาใช้งานร่วมกับลำโพง Watt เรียกว่าWatt/Puppy ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของลำโพงที่โด่งดังที่สุดของ Wilson Audio มาจนถึงทุกวันนี้

Watt/Puppy เปิดตัวครั้งแรกด้วยราคาที่ $10,000 USD หรือประมาณ 3 แสนกว่าบาท ซึ่งดูไม่แพงนักในตอนนี้ แต่ยุคนั้นลำโพงราคา$10,000 นั้น แพงมาก เทียบได้กับลำโพง 1 – 2 ล้านบาทในทุกวันนี้เลยล่ะครับ หลังจาก ที่ Watt/Puppy ได้ออกมาสู่ตลาดก็กลายเป็นลำโพงขวัญใจของบรรดาaudiophile ทั่วโลก ซึ่งทาง Wilson ก็ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานานจนถึง Watt/Puppy 8 ซึ่งเป็นระยะเวลากว่ายี่สิบปีได้ ก่อนที่จะกลายมาเป็น Sasha ในแบบทุกวันนี้

จาก 25 ปีของ Watt/Puppy มาเป็น Sasha

Mr.Daryl C. Wilson

หลังจากที่ออกแบบ Sasha มาDave ก็ได้ปรับปรุงการทำลำโพงจากที่แต่ เดิมเป็นลำโพงแยกสองชิ้น Watt และ Puppy ซึ่งมีข้อจำกัดในส่วน crossover ของตัว Watt ให้ทำงานได้ด้วยตัวเองด้วย พอมาเป็น Sasha ที่ออกแบบให้ ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม คือให้ส่วน woofer ทำงานช่วงความถี่ต่ำได้อย่างเต็มที่ และมีการออกแบบในหลายๆ จุดที่ทำให้ลำโพง Sasha สามารถ setup ในห้องขนาดต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบที่ทลายข้อจำกัดของลำโพงแยกส่วน ทำให้ Sasha สามารถให้ความถี่ได้ครบทุกย่านเสียงอย่างเต็มที่แบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนในช่วงนั้น

Wilson Sasha นั้นใช้ driver และ technology ของ Wilson MAXX Series 3 ในยุคนั้นมาผลิตเป็นลำโพงสำหรับห้องที่มีขนาดเล็กลงมาตัวตู้ยังคงเอกลักษณ์เดิมของ Watt/Puppy แต่ก็มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาสำหรับลำโพงที่รวมเป็นชิ้นเดียวพร้อม crossover และวัสดุใหม่ S Material ที่ใช้ในส่วนตู้ด้านบน Sasha จึงกลายเป็นลำโพงที่ขายดีมาก และประสบความสำเร็จไม่แพ้รุ่น Watt/Puppy ที่เคยทำไว้เลย

หลังจากที่ Sasha ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทาง Wilson เองก็ได้พัฒนาลำโพง platform ใหม่ๆ เมื่อทำลำโพง Alexandria XLF เสร็จ ก็ได้พัฒนาลำโพง Alexia ต่อ เพื่อนำ technology ของ Alexandria XLF ไปใช้ในห้องที่เล็กลงมาจากนั้นก็ได้อัพเกรด Sasha Series 2 โดยปรับปรุงตู้เบสใหม่ อัพเกรด tweeter โดยใช้ technology ใหม่ พร้อม X-Material เช่นเดียวกับAlexia โดยยังคงใช้ S-Material ในส่วน midrange อยู่ ซึ่งก็ถือว่าอัพเกรดไปเยอะเหมือนกันนะครับ กับราคาที่ขึ้นมา$2,000 (27,900 -> 29,900) Sasha Series 2 เองก็ขายดีมาโดยตลอดระยะเวลา5 ปีที่ผ่านมาเช่นกันครับ

หลังจากที่ Sasha Series 2 ขายมาได้ 5 ปี ก็เป็นช่วงที่เหมาะสมกับการอัพเกรดครั้งใหม่ในปีนี้ แต่คุณ Dave ก็จากเราไปก่อนในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งก็เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการ คุณ Daryl ผู้เป็นลูกที่ดูแลกิจการต่อก็ได้ตัดสินใจอัพเกรด Sasha รุ่นใหม่ให้มีชื่อว่าSasha DAW พร้อมการอัพเกรดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับลำโพงขนาดกลางนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่คุณพ่อ David Andrew Wilson ดังต่อไปนี้ครับ

Wilson Sasha DAW กับการอัพเกรดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่มี part เดิมเหลืออยู่เลย

แต่เดิมเวลาอัพเกรดลำโพงก็มักจะมีอะไหล่บางส่วนที่ยังคงเดิมไว้บ้าง และมีการปรับปรุงในจุดอื่นๆ ที่หยิบจับลำโพงที่พัฒนาใหม่นำมาใช้ อย่าง Sasha Series 2 ก็ยังคงใช้ driver เดิมด้วยอยู่ แต่รอบนี้ Sasha คิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่อะไหล่สักชิ้นเดียวที่ยังคงเหลือจาก Sasha เดิมเลย ตู้ก็ทำใหม่หมด ดอกลำโพงก็เปลี่ยนใหม่หมด ขั้วลำโพงก็ออกแบบใหม่ แม้แต่ขาที่ใช้ตั้งตู้ลำโพงส่วนบนก็เปลี่ยนใหม่เป็นขั้นบันไดให้เลื่อนปรับได้อิสระขึ้นแทน เรียกได้ว่าจัดเต็มเพื่อให้เกียรติแก่พ่อผู้เริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมดนี้เลยล่ะครับ

ดอก woofer ของ Sasha DAW นั้น ออกแบบใหม่โดยอ้างอิงมาจาก Woofer 8 นิ้วที่ใช้ใน Alexia Series 2 ตัว ตอนเป็น Sasha Series 2 นั้นใช้ X-Material เฉพาะ tweeter แต่รอบนี้ผนังหน้าwoofer ใช้ X-Material พร้อมออกแบบตู้ใหม่หมดเลย งานนี้ได้เบสคุณภาพแบบเน้นๆ เลยล่ะครับ

ส่วนตู้บนนั้นก็ออกแบบใหม่หมดเช่นกัน ตรงผนังหน้าดอก midrange และ tweeter จะหนาขึ้นเพื่อลดการรบกวนจากการสั่นสะเทือน driver midrange และ tweeter นั้นใช้รุ่นเดียวกันที่ใช้ในลำโพง WAMM Master Chronosonic ที่เป็น flagship ตัวล่าสุด และเป็นลำโพงที่ดีที่สุดที่ Dave เคยทำมาพร้อม crossover ชุดใหม่ สำหรับ Sasha DAW ถือเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่มาก เพราะช่วยลดรอยต่อของช่วงความถี่พร้อมกับลดความเพี้ยนและเพิ่มความนิ่งได้พร้อมกัน ซึ่งทำให้ Sasha น่าฟังขึ้นมาก

ตอนนี้แผงยึด driver woofer และ tweeter ก็ใช้ X-Material ที่เป็นวัสดุพิเศษที่ดีที่สุดที่ทาง Wilson ได้พัฒนามาทั้งคู่แล้ว แต่ในส่วนของ midrange ยังคงใช้ S-Material อยู่ เพราะการออกแบบด้วย S-Material สำหรับ driver midrange นั้นยังลงตัวกว่าและได้มีการปรับปรุงให้เพิ่มความแม่นยำและน่าฟังมากยิ่งขึ้น ตัวตู้ของ Sasha DAW นั้นได้ใช้วัสดุที่วิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และรอบนี้คุณภาพของตู้ลำโพงก็ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น

ปิดท้าย

สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกว่าSasha DAW เป็นลำโพงที่คุ้มราคาจริงๆ ครับ การนำ driver midrange กับ tweeter จากรุ่น WAMM Master Chronosonic มาใช้ก็เหลือเชื่อแล้วนะครับ เพราะ spec driver ขนาดนี้ อย่างน้อยๆ น่าจะใช้กับลำโพง 2 – 3 ล้านขึ้นไป งานจัดหนักมากในโอกาสสำคัญจริงๆ ครับ หลังจากที่ออก Wilson Sabrina มาแล้วให้เสียงที่กลืนกันน่าฟัง ผมก็เริ่มมองลำโพง Wilson บ่อยขึ้น ผมก็หวังจะได้สัมผัสกับ Sasha DAW เหมือนกันครับ ราคาก็พอจับต้องได้สำหรับชุด high end ที่ $37,900 USD ซึ่งเพิ่มจาก Sasha Series 2 เยอะเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ถึง $10,000 USD เสียดายที่ห้องฟังผมเล็กเกินกว่าที่จะลง Sasha DAW ได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นลำโพงที่คุ้มค่าที่สุด และเป็นหนึ่งในลำโพงที่น่าเก็บสะสมที่สุดของปีนี้เลยล่ะครับ. ADP