หลังจาก JVC DLA-NX9 ได้เปิดตัวปลายปีที่แล้ว และได้เริ่มเข้าสู่ตลาดต้นปีนี้ ทางบริษัท Deco 2000 ก็ได้ส่งโปรเจกเตอร์ตัวนี้ ให้ผมได้ทดสอบอยู่ร่วมเดือน จากการทดสอบในหลายด้านได้ข้อมูลที่น่าสนใจมามากมาย จึงเอาผลการลองทดสอบว่าโปรเจกเตอร์ ตัวใหญ่สุด และใหม่ล่าสุดของ JVC ตัวนี้มีอะไรที่น่าสนใจ 

บริษัท JVC ได้เริ่มต้นพัฒนาโปรเจกเตอร์ในระบบ D-ILA มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จวบจนปัจจุบันรวมเวลากว่า20 ปี โดยเทคโนโลยี D-ILA จะให้ภาพที่มี Native Contrast สูง มีรายละเอียดดี ความกว้างของเฉดสี ทำได้กว้าง จึงทำให้โปรเจกเตอร์ JVC ครองใจนักเล่น Home Theater มาอย่างยาวนาน และในปีนี้ทาง JVC ก็ได้เปิดตัวโปรเจกเตอร์ที่มีความละเอียด ระดับ Native 4K/ 8K e-shift ตัวแรกในโลกออกมา โดยในไลน์ใหม่ของ JVC นี้ เปิดตัวมาสามรุ่นด้วยกัน ได้แก่ DLA-N5 ราคา 199,900 บาท, รุ่น DLA-N7 ราคา 279,900 บาท และรุ่นใหญ่สุด DLA-NX9 ราคา 649,900 บาท โดยทั้งสามรุ่นใช้ชิพ 4K D-ILA ขนาด 0.69 นิ้ว ตัวใหม่ล่าสุดของ JVC มีความสว่างทั้งสามรุ่นตามลำดับ คือ 1,800 / 1,900 และ 2,200 lumen โดยตัว NX9 มี Native Contrast Ratio อยู่ที่ 100,000:1 และมี Dynamic Contrast Ratioอยู่ที่ 1,000,000:1 

สำหรับรูปร่างและหน้าตาของโปรเจกเตอร์ตัวใหม่นี้ JVC ได้เปลี่ยน รูปโฉมใหม่ทั้งหมด ตัว DLA-NX9 มีขนาดเครื่องอยู่ที่ 50 x 51.8 x 23.4 cm ส่วนขนาดของเครื่อง DLA-N7/N5 จะเป็น 50 x 49.5 x 23.4 cm จะเห็นได้ว่า DLA-NX9 มีความยาวกว่า DLA-N7/N5 อยู่เล็กน้อย ผิวสัมผัสด้านนอก ออกแบบเป็นผิวด้านกว่ารุ่นเดิม ทำให้ไม่ติดรอยนิ้วมือง่ายเหมือนรุ่นเดิม ที่เวลาติดตั้งเสร็จต้องมานั่งเสียเวลาเช็ดให้เครื่องมันเงาเหมือนเดิมอีก 

ในรุ่น DLA-NX9 ใช้เลนส์ขนาดใหญ่ 100mm เช่นเดียวกับรุ่น Flagship DLA-Z1 โดยเป็ นเลนส์แก้วแท้คุณภาพสูง 18 ชิ้น เรียงเป็น 16 กลุ่มขอบของเลนส์เสริมด้วยอะลูมิเนียม ตัวเลนส์รองรับความละเอียดภาพได้ถึง 8K และเนื่องจากเป็นเลนส์ที่หน้าเลนส์ขนาดใหญ่ ทำให้ภาพตามมุมต่างๆ ยังให้ความคมชัด ไม่บิดเบี้ยว สีสันมีความถูกต้อง สามารถทำ lens shift ได้มากกว่าปกติ ส่วนในรุ่น DLA-N7/N5 ใช้หน้าเลนส์ขนาด 65mm สำหรับรุ่น DLA-NX9 เป็นโปรเจกเตอร์ตัวแรกที่ได้รับการรับรองภาพแบบ 4K HDR จาก THX และ ทั้งสามรุ่นก็ได้รับ isf certificated อีกด้วยเช่นกัน 

ด้านหลังของเครื่องมีช่องต่อตามปกติ ได้แก่… ช่องเชื่อมกับตัวรับภาพ 3D, HDMI 18Gbps จำนวน 2port, ช่อง RS-232, ช่อง USB สำหรับ service, ช่องเสียบสาย LAN, 12V Trigger ส่วนด้านขวาสุดเป็นแผงควบคุม และตัวรับสัญญาณ IR รีโมต 

หลังจากนำโปรเจกเตอร์จัด วาง และ Setup ค่าพื้นฐานต่างๆ แล้ว ก็ได้เวลาวัดค่าเริ่มต้นที่มา จากโรงงาน ซึ่งก็ต้องยอมรับเลยว่า โปรเจกเตอร์รุ่นนี้ทำค่า Preset ออกมาได้ใกล้เคียงค่ามาตรฐาน ดีมาก เช่น Preset ของ Cinema Mode ส่วน Preset ของ Film mode จะพบค่า RGB Balance ติดสีเขียวแดงในส่วนที่สว่าง และ ที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่ลองวัดดู น่า จะเป็น Preset ของ THX mode

 

ในเรื่องต้นกำเนิดแสงของโปรเจกเตอร์ก็จะใช้แสงจากหลอดแบบ Lamp Base มีความสว่างสูงสุดในระบบ HDR วัดได้ประมาณ 30fL ถือได้ว่าฉายภาพ 4K HDR ในจอภาพใหญ่ๆ ได้สบาย สำหรับในเรื่อง input lag ของภาพแบบ 4K ใน mode ปกติ วัดได้ 99.5ms แต่ถ้าเปิดเป็น Low Latency mode จะลดลงเหลือ 39.5ms ดังนั้น ถ้าใครจะน?ำโปรเจกเตอร์ตัวนี้ไปเล่นเกมส์ ก็แนะนำให้เปิดเป็น Low Latency mode ไม่อย่างนั้นภาพจะหน่วงเวลามากเกินไป จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ JVC DLA-NX9 คือมี Wide Color Gamut ที่ครอบคลุมเฉดสีระบบ DCI-P3 ได้ถึง 100% ตาม spec และเมื่อ calibrate เรียบร้อยแล้วก็จะหดลงเหลือ 99.5% นับได้ว่าเป็นโปรเจกเตอร์ที่สามารถให้ Wide Color Gamut กว้างมากที่สุดที่ผมเคยวัดมา ส่วนใน Color Space แบบ Rec.2020 ก็ได้ 70 – 80% ผมว่าอีกหน่อยการครอบคลุมสีที่ 100% Rec.2020 ของโปรเจกเตอร์น่าจะอยู่ไม่ไกลความจริงละ 

หลังจากนั้น ผมก็ได้ทำการ Manual Calibration จากค่า Cinema mode ที่ให้ไว้ พบว่า… หลังจากปรับไปเล็กน้อย ค่าต่างๆ ก็ได้ตรงตามมาตรฐานไม่ยากนัก ไม่เหมือนกับโปรเจกเตอร์รุ่นเดิมที่กว่าจะปรับให้เข้าค่า มาตรฐานนั้นต้องใช้เวลามาก เพราะปรับค่าหนึ่งก็จะทำให้ค่าอีกค่าหนึ่งเพี้ยน ไปอีก ต้องทำกลับไปกลับมาหลายรอบ สำหรับ Delta E หรือความเพี้ยนของสีได้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1 ถือได้ว่าสุดยอดมาก เพราะปกติถ้าน้อยกว่า 3 ตาของมนุษย์ก็แยกความแตกต่างออกยากแล้ว 

ค่าที่วัดได้ก่อนและหลังจาการทำ Manual Calibration 

หลังจากนั้นก็ได้เปิดดูภาพกันบ้าง โดยเริ่มเปิดกับภาพของ pattern 4K HDR มาตรฐาน พบว่าภาพออกมาตรงมาก ทั้งเรื่องของ Brightness, Contrast, Tone Mapping ต่างๆ นี่ถือว่าถูกต้องตามเกณฑ์หมดเลย เปิดภาพจริงๆ ออกมา สิ่งแรกที่เห็นแล้วต้องร้อง Wow ก็คือ… เรื่องของความคมชัดของ ภาพ เรียกได้ว่าไม่เสียชื่อภาพแบบ Native 4K/ 8K e-shift ที่โฆษณาไว้เลย จริงๆ ภาพให้ความสว่าง คมชัด สดใสทั่วทั้งภาพ ผมว่าความละเอียดของ ภาพนี่มากกว่าตัว JVC DLA-Z1 ที่ผมเคยทดสอบเสียอีก ทั้งๆ ที่ตัว Z1 นี่ ผมว่าชัดมากแล้วนะ มาเจอ NX9 ตัวนี้นี่ต้องบอกว่าทำเรื่องความคมชัดได้ดีขึ้นไปอีก ส่วนในเรื่อง Contrast ของภาพ ถือได้ว่าทำได้ดี ไม่เสียชื่อ JVC ที่มีจุดขายในเรื่องของความดำแต่ถ้าเทียบกับรุ่นหลังสุดที่เป็น 4K e-shift ผมว่าความดำอาจจะน้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี เพราะความดำของ JVC ในรุ่นหลังๆ 4K e-shift นี่ดำสุดหาตัวเทียบยากจริงๆ นอกจากจะมีค่า Contrast ที่ดีมากแล้ว รายละเอียดในส่วนมืดของภาพ และการไล่ระดับความมืดของภาพก็ทำได้ดีเช่นกัน 

หลังจาก Manual Calibration ค่าสีต่างๆ ก็เข้าใกล้เคียงค่ามาตรฐานมากขึ้น 
ค่า Delta E ได้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1 

ที่ผมชอบมากอีกอย่างในโปรเจกเตอร์ตัวนี้ก็คือ การมี Auto Tone Mapping เพราะรุ่นก่อนหน้านี้ที่เป็น HDR จะเป็นแบบ manual เวลาเปิดดูหนัง ที่เป็น HDR แต่ละเรื่องนี้ต้องมานั่งปรับให้ภาพสว่างพอดีเป็นเรื่องๆ ไปเลย แต่สำหรับ Auto Tone Mapping ไม่ต้องทำอย่างนั้น โดยเครื่องจำนำเอา ข้อมูล metadata ที่อยู่ในแผ่น Blu-ray ว่ามีค่า Max CLL (ระดับความสว่าง สูงสุดของแผ่นนั้น) กับ Max FALL (ความสว่างของแต่ละ frame เฉลี่ยทั้งเรื่อง) เอามาปรับระดับของ Tone Mapping ให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ทำให้เรา ไม่ต้องมาคอยนั่งปรับทุกเรื่อง และก็ยังสามารถตั้งระดับ Mapping Level ได้ ถ้ารู้สึกว่าภาพดูมืดไปหรือสว่างไป ค่าจะตั้งไว้ default ที่ 2 ถ้าดูแล้วภาพ HDR ยังมืดไปก็สามารถปรับเพิ่มค่า Mapping Level ขึ้น เพื่อให้ภาพมีความสว่าง มากขึ้นอีกได้ แต่ปัญหาก็คือ ถ้าแผ่นนั้นไม่ได้ใส่ข้อมูล Max CLL และ Max FLL มา ระบบก็จะไม่สามารถทำเป็น Auto Tone Mapping ได้ 

Auto Tone Mapping ทำให้สามารถดูภาพ 4K HDR 
ที่มีความสว่างพอดี สีสันสวยงามมากขึ้น 

สรุปแล้ว… โปรเจกเตอร์ JVC DLA-NX9 ตัวนี้เป็นโปรเจกเตอร์ Native 4K HDR ตัวแรกของทาง JVC ที่ทำออกมาแล้วไม่เสียชื่อ JVC มีจุดเด่นใน เรื่องของรายละเอียดความคมชัด มี Contrast ที่สูง มี Color Wide Gamut ในระดับ 100% DCI-P3 รวมถึงการมีระบบ Auto Tone Mapping จึงทำให้ โปรเจกเตอร์ตัวนี้ไม่ทำให้แฟนๆ JVC ที่เหนียวแน่นผิดหวังเลยจริงๆ 

ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทาง บริษัท Deco 2000 ที่ได้ส่งโปรเจกเตอร์ตัวนี้ มาให้ทดสอบถึงจังหวัดอุดรธานีด้วยครับ. VDP 

ราคา 649,000 บาท 
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท Deco 2000 จำกัด 
โทร. 0-2256-9700