เนื้อหาในฉบับนี้จะแปลกหน่อย คือจะชวนดูหนังเรื่อง Gemini Man ที่นำแสดงโดย วิล สมิธ (Will Smith) เผื่อว่าใครยังไม่ได้ดูจะได้ลอง เสาะหามาดู หรือใครที่ดูแล้วประทับใจบ้าง ไม่ชอบบ้าง ก็ลองมาอ่านดูว่า มีอะไรที่น่าสนใจในหนังเรื่องนี้ ความจริงที่ผมเอาหนังเรื่องนี้มาพูดถึง ก็เพราะว่าหนังเรื่องนี้มีข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ทางเทคนิคซ่อนอยู่ หลายอย่างที่บางท่านอาจจะยังไม่รู้ ลองมาติดตามกันครับว่ามีจุดไหน ที่เป็นประโยชน์บ้าง

 สำหรับเนื้อเรื่องผมคงไม่ได้กล่าวถึงมากนัก กลัวว่าจะเป็นการสปอยล์ หนัง เดี๋ยวคนที่ยังไม่ได้รับชมจะเสียอรรถรสไปเสียก่อน แต่เนื้อหาโดยรวม เท่าที่ดูเองและคุยกับเพื่อนหลายๆ คน ส่วนมากไม่ได้ถึงกับชื่นชมมากนัก โดยส่วนตัวถ้าไม่ได้คิดอะไรมาก ผมก็ว่าดูสนุกตามสไตล์หนังแอ็กชั่น Hollywood ทั่วไป แต่เพื่อนบางท่านก็บอกเนื้อหาก็เป็นพล็อตที่ไม่ได้มี อะไรแปลกใหม่มากนัก หรือแม้กระทั่งบางคนบอกว่าเป็นหนังที่ดูแล้วถึง กับเสียดายเงินกันเลยทีเดียว ซึ่งอันนี้คงแล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละท่าน ละครับ ที่บอกว่าพล็อตเรื่องไม่มีอะไรใหม่ อันนี้ผมได้อ่านจากบทความ รีวิวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มา ก็บอกว่าเป็นภาพยนตร์ที่ผู้กำกับฝีมือระดับ สองรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain และ Life of Pi ซึ่งก็คือ อั่งลี่ (Ang Lee) โดยเขาคิดว่าจะทำเมื่อกว่า 20 ปี ก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่าในช่วงเวลานั้นเทคโนโลยีทางด้านภาพยนตร์ หลายอย่างยังไม่เอื้ออำนวยให้สร้างได้ จนมาถึงในปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี ทั้ง Computer Graphic เทคโนโลยีการถ่ายทำ Visual Effects ต่างๆ ทำให้หลายอย่างลงตัว จึงสามารถดำเนินการสร้างได้ตาม ความตั้งใจของผู้กำกับคนดัง นอกจากนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มือกำกับภาพ (Cinematography) ระดับออสการ์อีกเช่นกัน ได้แก่ ดิออน บีบี (Dion Beebe) ที่เคยได้เข้าชิงออสการ์สาขาการกำกับภาพจากเรื่อง Chicago (2002) จนในที่สุดได้รับรางวัลออสการ์ด้านการกำกับภาพ จากภาพยนตร์เรื่อง Memoirs of a Geisha (2005) นับว่าเป็นหนังที่ได้มือดีด้านภาพมาทำกันหลายคน

ภาพยนตร์เรื่อง The Hobbit ที่ผู้กำกับ Peter Jackson ถ่ายทำที่ Frame Rate 48fps
กล้อง Arri Alexa SXT M ที่ใช้ในการถ่ายภาพยนตร์เรื่อง Gemini Man

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คือได้ถ่ายทำในระบบ 4K 3D 120 frame per second ซึ่งการถ่ายทำแบบ high-frame-rate แบบนี้ Ang Lee เคยใช้ในการทำหนังเรื่อง Billy Lynn’s Long Halftime Walk โดยตอนหนัง เรื่องนั้นใช้ผู้กำกับภาพระดับสองรางวัลออสการ์จาก Braveheart และ Legends of the Fall ได้แก่ John Toll ซึ่งนับว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ที่ถ่ายด้วยอัตรา Frame Rate ที่ 120 เฟรมต่อวินาที (fps) จากปกติหนัง จะถ่ายทำมาอยู่ที่ 24fps ร่วมร้อยปีที่ผ่านมา แต่ก็มีผู้กำกับ Peter Jackson เคยถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Hobbit ทั้งสามภาคด้วย Frame Rate 48fps จวบจนมาถึง Ang Lee นี่แหละที่ได้แหวกกฎและถ่ายทำด้วย High Frame Rate เป็น 120fps และถ่ายทำในระบบ 3D เสียด้วย กล้องใช้ในการถ่ายทำ เป็นกล้อง Arri Alexa SXT M และ Vision Research Phantom Flex ที่มีการดัดแปลงเฉพาะสำหรับหนังเรื่องนี้ ใช้เลนส์ Leitz Leica Summicron-C, Summilux-C ถ่ายทำที่อัตราส่วนภาพ 1.85:1 โดยกล้อง Arri จะให้ภาพ 3.2K ที่ 120fps แล้วไปทำการ up-rezzed ใน post production ให้ภาพทั้งหมดออกมาเป็น 4K และภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องไป ถ่ายทำนอกสถานที่ในหลายๆ ประเทศ ซึ่งจะต้องมีการเช่าพื้นที่ตึกข้างๆ เพื่อทำเป็นห้องแล็บติดแอร์เย็นเพื่อเก็บฟุตเทจ และเพื่อใช้ประโยชน์ ในการโปรดักชันบางอย่าง ซึ่งแล็บนี้จะย้ายที่ไปเรื่อยตามสถานที่ถ่ายทำ จนเมื่อเสร็จแล้วจะกลับไปที่ New York เพื่อทำการ editing, color grading และ final mastering สำหรับ DCPs พื้นที่ในการเก็บข้อมูลในห้องแล็บนี้ จะมีขนาดใหญ่มาก และใช้ซอฟต์แวร์พิเศษในการจัดเก็บ โดยจะมีฮาร์ดดิสก์ ในการจัดเก็บอยู่ที่ 3 petabytes หรือคร่าวๆ ก็เท่ากับ 3,000 terabytes และจะมีโซลิดสเตตเก็บข้อมูลอีก 300 terabytes โดยข้อมูลทั้งหมด จะถูกเชื่อมกันด้วยอีเทอร์เน็ตความเร็ว 100Gigabit ที่ต้องใช้เนื้อที่ใน การเก็บมหาศาลขนาดนี้ เพราะข้อมูลจากการถ่ายทำมีขนาดใหญ่มาก เช่น ข้อมูลที่ได้จากการถ่ายทำและผ่านกระบวนการแก้ไขอยู่ที่ 92 terabytes หรือเท่ากับ 1.8 ล้านเฟรม ซึ่งในระยะเวลาเท่ากันถ้าถ่ายทำด้วยระบบ 2K 2D 24fps จะมีขนาดของข้อมูลอยู่แค่ 2.3 terabytes หรือ 173,000 เฟรม เท่านั้น เรียกว่าน้อยกว่า 40 เท่าตัวเลย

ห้องแล็บติดแอร์เย็นเพื่อเก็บฟุตเทจของหนังลงบนฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่

สำหรับแผ่นบลูเรย์แบบ 4K Ultra HD ของภาพยนตร์เรื่อง Gemini Man นั้น จะทำออกมาในความละเอียด 2160p ใช้ video coding หรือ ที่ เรียกว่า HEVC (High Efficiency Video Coding) แบบ H.265 และที่สำคัญคือใส่มาในความถี่แบบ 60fps ถึงแม้จะไม่เท่ากับที่ถูกบันทึกมาคือ 120fps แต่ก็นับว่าเป็น Blu-ray หนังเรื่องที่สองที่ใส่ high frame rate มาแบบนี้ หลังจากเรื่องแรกคือเรื่อง Billy Lynn’s Long Halftime Walk ที่ใส่ frame rate มาเป็น 60fps เช่นกัน แต่สำหรับเรื่อง The Hobbit Trilogy ที่ถ่ายทำด้วย HFR แบบ 48fps แต่เมื่อออกมาเป็นแผ่นจะถูกบันทึก ลดลงไปเป็น 24fps แทน ซึ่งสำหรับ frame rate ของหนังเรื่อง Gemini Man ในแผ่นบลูเรย์ นั้นถ้าจะพูดให้ละเอียดขึ้นต้องบอกว่าเป็น 59.94fps เพราะเนื่องจากเวลานำเอาข้อมูลฟิล์มจากการถ่ายทำมาผ่านกระบวนการ แปลงเป็นไฟล์ดิจิทัลเพื่อนำไปลงดิจิทัลมีเดีย หรือการออกอากาศทาง โทรทัศน์ (Broadcast) จะทำให้ frame rate เปลี่ยนไปเล็กน้อย เช่น ถ้าถ่ายทำด้วยฟิล์มที่ 24fps เมื่อจะนำไปเปลี่ยนเพื่อบันทึกแบบดิจิทัลลง แผ่นบลูเรย์ จะออกมาเป็น 23.976fps เช่นเดียวกับหนังที่เป็น 60fps ที่ความถี่ที่ใส่ลงไปในแผ่นบลูเรย์จริงๆ จะเป็น 59.94fps และทีเด็ดอีกอย่าง หนึ่งของแผ่นนี้คือ ใส่ HDR (High Dynamic Rang) ทั้งในระบบ HDR10 และ Dolby Vision มาทั้งสองอย่างเลย โดยเฉพาะระบบ HDR แบบ Dolby Vision ที่ถือได้ว่าเป็น HDR ที่ดีที่สุดในตลาดผู้บริโภคในปัจจุบัน เนื่องจาก ว่าสามารถรองรับความสว่างสูงสุดได้ถึง 10,000 nits ให้ความละเอียด ของการไล่ระดับสีระดับ 12 Bit และจะส่งข้อมูลการปรับระดับความสว่าง ของภาพ HDR เป็นแบบ frame by frame หรือที่เรียกว่า Dynamic Metadata เลย ซึ่งจะดีกว่า HDR 10 ที่จะรองรับความสว่างสูงสุดอยู่ที่ 4,000nits ความละเอียดของระดับสี 10bit และการส่งข้อมูลความสว่าง สูงสุดต่ำสุดของหนังจะเป็นการอ่านข้อมูลแค่ครั้งเดียวก่อนการเล่นไฟล์ หรือ ที่เรียกว่าเป็น Static Metadata จะเห็นได้ว่าแผ่น 4K Ultra HD Blu-ray ของหนังเรื่องนี้มีสเปกที่ดีมากในระดับที่ใช้เป็นแผ่นอ้างอิงในปัจจุบันนี้ได้เลย

แผ่น 4K Ultra HD Blu-ray ของหนังเรื่องนี้ที่ใช้เป็นแผ่นอ้างอิงในด้านภาพได้เลย

เนื่องจากเป็นหนังแบบ 4K 3D HDR ที่เป็นแบบ High Frame Rate 120fps ทำให้ตอนออกฉายในโรงภาพยนตร์ในอเมริกา มีโรงภาพยนตร์เพียง 14 โรงเท่านั้นที่สามารถฉายหนังได้เต็มประสิทธิภาพในระบบนี้ เนื่องจาก โรงภาพยนตร์ส่วนมากยังไม่รองรับระบบภาพแบบนี้ สำหรับในเมืองไทย ยังไม่มีโรงภาพยนตร์ไหนรองรับระบบภาพที่สูงระดับนี้ ตอนเข้ามาฉายเลยฉายได้สูงสุดแค่ 3D HFR ที่ 60fps เท่านั้น สำหรับโรงภาพยนตร์ IMAX ยังต้องลด frame rate ลงเหลือ 24fps เท่านั้น แต่คนที่ได้รับชมภาพ 4K 3D HDR แบบ High Frame Rate 120fps ของภาพยนตร์เรื่องนี้ต่างบอกว่าคุณภาพของภาพ 3D นั้นดีกว่าภาพ 3D จากเรื่องอื่นที่เคยดูมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะความลื่นไหลของภาพ มิติด้านลึกด้านตื้นเด่นชัด โดยเฉพาะ อย่างยิ่งไม่ต้องปรับสายตามากเหมือนหนัง 3D HFR ที่เคยดูมา อย่างกับ หนังเรื่อง The Hobbit 3D HFR 48fps นั้นบางท่านต้องอาศัยเวลาในการ ปรับสภาพสายตาอยู่นาน และเวลาดูไปห้าถึงสิบนาทีก็เริ่มมีอาการมึนๆ บ้าง ซึ่งแตกต่างจากหนังเรื่องนี้ที่ไม่ต้องใช้เวลาในการปรับสายตาดูภาพ 3D มากเกินไป เนื่องจากภาพมีความสมูธทำให้อาการปวดหัว มึนหัวจากการ ดูภาพ 3D นั้นเกิดขึ้นน้อยลงมาก

ส่วนคุณภาพของภาพจาก Blu-ray 2D แบบ 4K Ultra HD HDR 60fps ที่ผมได้ดูแล้วนั้นต้องบอกว่า ภาพที่ออกมามีสีสันของภาพดู สดสวยงดงามเป็นธรรมชาติทั้งในฉากมืดและฉากสว่าง อย่างฉากมืดนี่แทบ จะมองไม่เห็น noise หรือ banding อยู่ในภาพเลย การไล่ระดับสีในความมืด มีความละเอียดไม่หลอกตา ความลื่นไหลของภาพดีมาก การแพนกล้องไปมา หรือการเคลื่อนไปของนักแสดงมีความสมูธ สมจริง ไม่พบอาการกระตุกของ ภาพเมื่อเวลาภาพเคลื่อนที่เร็วๆ เหมาะสมอย่างยิ่งกับหนังแนวแอ็กชันแบบ ภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากความลื่นไหลของภาพแล้ว สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ ภาพในหนังเรื่องนี้คือ รายละเอียดต่างๆ ที่ปรากฏ จะมีความคมชัด มีความ เคลียร์ใสของภาพแบบสุดๆ อย่างกับภาพหน้าตาของบุคคลนั้น รายละเอียด รูขุมขน ริ้วรอยบนใบหน้าของนักแสดงแต่ละคน เรียกได้ว่าเก็บได้หมด ทำให้ คนดูสามารถเห็นการแสดงสีหน้าของนักแสดงได้อย่างชัดเจนเหมือนกับดู หน้าคนแสดงนั่งอยู่ในห้องเดียวกับเรายังไงยังงั้นเลย แต่การลื่นไหลของภาพ แบบนี้ผู้ชมบางท่าน หรือคนทำหนังบางคนก็ไม่ชอบ บ้างถึงกับต่อต้านเลยก็มี เพราะว่ามันไม่ให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนดูหนัง บางคนถึงกับเปรียบไว้ว่าเหมือนกับดูสารคดี ดูละครหลังข่าว หรือดูแล้วเหมือนกับดูวิดีโอที่ถ่ายเอง ในบ้านเสียมากกว่า อันนี้ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละคน ล่ะครับ เพราะทาง Ang Lee เองตั้งใจให้ภาพออกมาแนวนี้ เพื่อสื่อให้ผู้ชม รับรู้กับความสมจริงของหนัง เหมือนเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นตรงหน้าของคนดู ซึ่งถ้าใครต้องการดูตามแนว Director Intended ก็คงต้องเปิดใจยอมรับ และปล่อยอารมณ์คล้อยตามไปกับเนื้อหาของหนัง ไม่ต้องมาใส่ใจจับผิดกับ ภาพที่เกิดขึ้น แค่นี้เราจะได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในอีกรูปแบบหนึ่ง ของภาพยนตร์ ส่วนจะชอบไม่ชอบอันนี้ค่อยว่ากันอีกที

ฉากการต่อสู้ที่ทำบรรยากาศเสียง Atmos ได้ดี

สำหรับเสียงที่ให้มาในแผ่นนี้จะเป็น Dolby Atmos ซึ่งผมว่าในเรื่องเสียงของภาพยนตร์เรื่องนี้ถือได้ว่าทำได้ในระดับดี เสียงพูดมี ความชัดเจน เคลียร์ เสียงบรรยากาศของการโอบล้อมแบบ Immersive มีให้เห็นได้ในบางฉาก เช่นฉากอยู่ในทุ่งหญ้า อยู่ในบ้านกลางธรรมชาติ การแสดงความสามารถของเสียง Dolby Atmosแบบ Object base พบได้ในฉากต่อสู้ ฉากระเบิด ฉากยิงปืน แต่ถ้าเทียบกับหนังแอ็กชัน ที่เป็น Dolby Atmos ผมว่าอาจจะน้อยไปนิด โชว์ความสามารถของ ลำโพงเพดานได้ไม่เต็มที่ ความถี่ต่ำในหนังพอมีบ้างแต่ไม่ถึงกับเยอะมาก เรียกได้ว่าอยู่ในระดับพอดีๆ แต่อาจจะขัดใจแนวฮาร์ดคอร์บ้าง

ความถี่ต่ำในหนังก็พอมีบ้างแต่ไม่ถึงกับเยอะมาก เรียกได้ว่าอยู่ในระดับพอดี

เรื่องทางเทคนิคสำหรับแผ่นนี้ที่จะเป็นประโยชน์สำหรับนักเล่น Home Theater คือเรื่องของภาพที่เป็น 4K Ultra HD HDR 60fps นี่แหละ คนที่สนใจในเรื่องของสาย HDMI คงพอจะรู้บ้างว่าสาย HDMI ที่ใช้ สำหรับภาพ 4K HDR ในปัจจุบันนั้นอย่างน้อยควรจะต้องเป็นสาย HDMI version 2.0 ขึ้นไป โดยคุณสมบัติที่สำคัญของสาย HDMI 2.0 คือต้อง รองรับการส่งผ่านข้อมูลในระดับ 18Gigabyte per second (Gbps) ถึงจะสามารถส่งสัญญาณข้อมูลภาพ 4K Ultra-HD 60fps การเข้ารหัสสี Chroma Subsampling 4:4:4 หรือ 4:2:2 ที่ 10,12 bit depth perchannel ตามตารางที่แสดงไว้ หรือเข้าใจง่ายๆ พยายามให้การส่งข้อมูล มีการย่อข้อมูลให้น้อยถึงจะทำให้ภาพที่ออกมาเพี้ยนน้อยที่สุด สำหรับในเรื่องของ Chroma Subsampling, bit depth ผมเคยเขียนอธิบายไว้ ละเอียดหลายปีที่แล้ว สามารถหาอ่านได้จากในเพจของทางนิตยสารหรือ จากเพจ Home Theater Pro Thailand จะได้เข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น เพราะเป็นเรื่องพื้นฐานของภาพอย่างหนึ่ง สังเกตเวลาเข้าเมนูการเซ็ตอัพภาพ มักจะมีเรื่องของการตั้ง Chroma subsampling, bit depth นอกเหนือ จากเรื่องของการตั้งค่า resolution และ frame rate ที่บอกว่าเรื่องนี้ สำคัญ เนื่องจากว่าที่ผ่านมาผมได้ทำการทดสอบสาย HDMI หลายเส้น พบว่า บางเส้นผ่านมาตรฐาน HDMI 2.0 บางเส้นก็ไม่ผ่าน เนื่องจากว่าไม่สามารถส่งข้อมูลถึงระดับ 18Gbps และเมื่อนำสายที่ไม่ผ่านไปลอง ในระบบจริงๆ พบว่า บางเส้นเมื่อทำการปล่อยสัญญาณที่ 4K 60fps จากภาพยนตร์เรื่อง Gemini Man แล้วตั้งค่าเครื่องเล่นเป็น bit depth10, 12 Chroma Subsampling 4:2:2 เมื่อเล่นไปซักพักภาพจะหายไป หรือถ้าดีหน่อยจะกะพริบอยู่ตลอดเวลา แบบนี้ทำให้เรารู้ว่าสายเส้นนี้ คงไม่ผ่านตามมาตรฐาน HDMI 2.0 แต่บางเส้นภาพยังติดอยู่ แต่อย่าพึ่ง ดีใจว่าสายเส้นนั้นผ่านมาตรฐาน ให้ลองดูในเครื่องเล่นกับจอแสดงภาพ อีกทีว่า ข้อมูลที่รับมานั้นเป็น bit depth 10/12 ที่ Chroma Subsampling 4:4:4/4:2:2 หรือเปล่า บางทีผมเจอว่าพอสาย HDMI ไม่สามารถส่งผ่าน ข้อมูลได้เครื่องเล่นจะทำการลดค่าเหล่านี้ลงโดยอัตโนมัติโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ และบางทีก็ได้ทำการลดในส่วนของ frame rate ให้น้อยลงหรือลด color space จาก Rec.2020 ไปเป็น Rec.709 เลยก็มี มันทำให้ภาพ ที่ออกมานั้นไม่ได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุดอย่างที่ควรจะเป็นของทีวีหรือ โปรเจกเตอร์ ในภาพยนตร์อาจจะมีหนังหรือสารคดีอยู่ไม่กี่เรื่องที่เป็น 4K 60fps แต่สำหรับการเล่นเกมที่ต้องการความลื่นไหลของภาพ สีสันที่ สดเต็มประสิทธิภาพของจอ อาจจะเกิดปัญหาได้เช่นกันถ้าใช้สาย HDMI ที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ลองเช็คกับระบบที่บ้านของเราได้ด้วยวิธีที่ผมแนะนำไป หรือถ้าใครต้องการรู้จริงๆ ว่า สายนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ สามารถซื้อหาเครื่อง HDMI Tester หรือ HDMI Analyzer ที่สามารถใช้วัดความสามารถ ของสายเส้นนั้นๆ ได้ สนนราคามีให้เลือกตั้งแต่ไม่กี่พันบาทจนไปถึง หลายหมื่นบาท ตามประสิทธิภาพ ความสามารถของเครื่องนั้นๆ

ตารางรายละเอียดอัตราความเร็วการส่งข้อมูลของภาพในฟอร์แมตต่างๆ ของภาพ UHD
เครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบสาย HDMI
สาย HDMI Version 2.0 ต้องสามารถส่งผ่านข้อมูลในส่วนต่างๆ
ได้ถูกต้องและรองรับการส่งข้อมูลในระดับ 18Gbps

ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณเนื้อหาทางด้านการ ถ่ายทำที่ผมแปลมาจากนิตยสาร American Cinematographer และทั้งหมดนี้ก็เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง Gemini Man ที่ใช้ เทคโนโลยีด้านภาพชั้นสูงในการถ่ายทำ เพื่อทำให้สามารถถ่ายทอดเนื้อหา เรื่องราวของ ภาพยนตร์ได้สมจริง ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น ไปอีกขั้น แต่ใครจะชอบหรือไม่ชอบเนื้อหา เรื่องราว ความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้หรือไม่ คงแล้วแต่มุมมองของผู้ชมแต่ละท่าน อย่างน้อย ที่สุดก็ทำให้เราได้ทราบถึงเทคโนโลยีด้านภาพ ว่าไปถึงระดับไหนบ้างแล้ว เรียกว่าจะได้ไม่เอาต์ กับเทคโนโลยีของวงการภาพยนตร์และวงการ โฮมเธียเตอร์ใหม่ๆ ครับ. VDP

นิตยสาร AUDIOPHILE VIDEOPHILE ฉบับที่ 276