นักเขียน : ธีรวัฒน์ โชติสุต

ลำโพง PIEGA Master Line Source 3 ทำให้ผมนึกย้อนถึงวันที่ผมไปนั่งแช่ในงาน Hong Kong High-End Audio Visual Show 2019 ถึงสองวัน วันแรกที่ได้ลองเข้าไปนั่งฟังรู้สึกประทับใจมากแต่ได้ฟังไม่มาก เลยขอต่อวันที่สอง ไปรอตั้งแต่เช้า เขาก็ยังไม่เปิด ยืนรอจนเขาเปิดจึงได้เข้าไปฟังต่ออีกครึ่งค่อนวัน

ตอนนั้นรู้สึกเสียดายว่า ลำโพงดีๆ แบบนี้ บ้านเราไม่มีใครทำตลาดต่อเลยเหรอ เกิดอะไรขึ้นเน้อ???

กลับจากนั้นไม่นาน เพียงไม่ถึงเดือน ผมได้ทราบข่าวว่า ทางบริษัท วันพัฒน์ 59 จำกัด ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนขายลำโพง PIEGA อย่างเป็นทางการ และลำโพงล็อตแรกที่จะ เข้ามาก็คือ รุ่น Master Line Source 3 ซึ่งผมประทับใจอย่างมาก และอีกรุ่นหนึ่งคือ Coax 711 ซึ่งได้รางวัลจาก The Absolute Sound และได้รับการชื่นชมจาก Robert Harley ผู้ทดสอบลำโพงคู่นี้ค่อนข้างมากทีเดียว โดยหลังจากนี้ผมจะทดสอบลำโพง PIEGA Coax711 อีกครั้งหนึ่ง

               ลำโพง PIEGA Master Line Source 3 โดยผมขอเรียกสั้นๆ ว่า “PIEGA MLS3” ผมเพิ่งทราบว่าสีโครงสร้างตู้ลำโพงมีด้วยกัน 4 แบบ คือ สีเงิน สีขาว สีดำ และสีน้ำตาลลายไม้ ตอนแรกนึกว่าจะมีแค่สีเงินอย่างเดียว แต่ตัวที่สั่งเข้ามาจะเป็นสีน้ำตาลลายไม้ ดูสวยงามอีกแบบหนึ่ง และสีนี้คิดว่าน่าจะถูกจริตกับนักเล่นบ้านเราได้มากกว่า

PIEGA MLS3 คือน้องเล็กสุดในมาสเตอร์ซีรีส์ ซึ่งจะประกอบด้วย Master Line Source, Master Line Source 2 และ Master Line Source 3

               ความแตกต่างของ Master Line Source 3 กับ Master Line Source 2 คือแผงริบบอนและ กรวยเบส โดยในรุ่น Master Line Source 3 จะเล็กกว่า Master Line Source 2

               ไฮไลต์ของลาโพง  PIEGA  ที่เราต่างนึกถึง เมื่อเอ่ยถึงลำโพงยี่ห้อนี้ก็คือ ริบบอนเทคโนโลยีและ โครงสร้างตู้ซึ่งทำมาจากอะลูมิเนียม ลำโพง  PIEGA MLS3 จะใช้ Tweeter-Coaxial Ribbon ขนาดความ สูง  23  เซนติเมตร  เรียงต่อกันถึง  4  ชุดในแนวดิ่ง ในลักษณะไลน์ซอร์ส  เพื่อให้เสียงครอบคลุมใน แนวดิ่งมากยิ่งขึ้นและการแผ่กระจายเสียงก็จะ มีปีกยื่นออกมาเป็นชั้นๆ เรียกว่า Acoustic Lenses เพอช่วยลดระยะการวางผนังด้านหลัง ให้สามารถวาง ได้ชิดมากขึ้น  หากไม่มี Acoustic  Lenses  บำโพง PIEGA MLS3  ซึ่งกระจายเสียงในลักษณะไดโพลอาจต้องวางห่างจากผนังด้านหลังค่อนข้างมาก แต่พอ ใส่ Acoustic Lenses เข้าไปจะช่วยลดระยะตรงนได้ ทำให้ห้องฟังเพลงสมัยใหม่ที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก จะสามารถวางลำโพงได้ใกล้ผนังด้านหลังมากขึ้น

               ส่วนด้านความถี่ต่ำ ลำโพง PIEGA MLS3 จะใช้ กรวยเบสขนาด 7 นิ้ว 2 ตัวและอีก 2 ตัวจะทำหน้าที่เป็นพาสซีฟแรดิเอเตอร์  ทำให้ความสูงของลลำโพงทั้งหมดสูง 165  เซนติเมตรยังไม่รวมสไปก์ ลำโพง PIEGA MLS3 ความไว 92dB อิมพีแดนซ์ 4 โอห์ม น้ำหนักของลำโพง 65 กิโลกรัม

เซ็ตอัพ

         นับตั้งแต่ทดสอบลำโพงมาหลายสิบปี ลำโพง PIEGA MLS3 เป็นลำโพงค่อนข้างไวต่อการเซ็ตอัพ อย่างมาก ขยับนิดขยับหน่อยเสียงเปลี่ยนแปลง ค่อนข้างมากทีเดียว เปรียบเทียบกับลำโพง SCAENA ซึ่งผมเคยคลุกคลีเซ็ตอัพลำโพงมาก่อนยังไม่ได้ ไวเท่า ทั้งๆ ที่ลำโพง SCAENA ดูน่าจะเซ็ตอัพยากกว่า แต่กลับกลายเป็นว่าลำโพง PIEGA MLS3 เซ็ตอัพได้ ยากกว่าเยอะ

               ความยุ่งยากที่จะต้องคานึงถึงคือ  กลาง-แหลม ของ PIEGA MLS3 เป็นริบบอน ซึ่งตอบสนองได้อย่าง รวดเร็วฉับไวกว่าความถี่เสียงต่า นั่นก็คือเบส เพราะตัวกำหนดความถี่เสียงต่านั้น  ใช้กรวยไดนามิกขนาด 17 นิ้ว จำนวน 2 ตัว และ Passive Radiators ขนาด 7 นวอีก 2 ตัวเช่นกัน การกระจายเสียงของย่านกลาง สูงจะเป็นลักษณะแบบไดโพลคือกระจายเสียงล้อมไป ทางด้านหลังลำโพง  การกระจายเสียงมีทั้งออก ด้านหน้าและด้านหลัง ลำโพง PIEGA MLS3  

               ต้องการพื้นที่ด้านหลังพอสมควร อย่างน้อย ควรจะมีระยะให้เล่นบ้าง อย่างต่ำเลยน่าจะ ประมาณ 1.6 เมตร หากมีน้อยกว่านั้นก็ไม่ควร จะน้อยกว่า 1 เมตร เพราะลำโพง PIEGA MLS3 มี Acoustic Lenses จึงช่วยให้วางได้ใกล้มาก ยิ่งขึ้น หากวางใกล้ผนังหลังก็ต้องชดเชยในเรื่อง ของการเซ็ตอัพลำโพงอีกครั้งหนึ่ง

               โจทย์ข้อแรกของ PIEGA MLS3 คือ จะทำอย่างไรให้เบสกลมกลืนไปกับความถี่เสียงกลาง สูง โอกาสที่กลางแหลมจะล้ำหน้าและเนื้อเสียง กลางสูงบางนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายมากๆ แต่ก็ใช่ว่า จะจัดการอะไรไม่ได้ ต้องเข้าใจกันเสียก่อนว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้สองปัจจัย คือจากซิสเต็ม ต้นทาง และการเซ็ตอัพ

               เล่นลำโพงแบบนี้ ถ้าขับโดยใช้แอมป์โซลิด สเตทกำลังขับมากๆ อย่างน้อย 400 วัตต์ขึ้นไป ถึงจะเอาอยู่ ควบคุมคอนโทรลได้ง่ายกว่า แต่ผม ไม่ได้เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป ในการทดลอง ครั้งนี้ผมได้ลองอินทิเกรตแอมป์หลอดถึง 2 ตัว ตัวแรกนั้นเป็นอินทิเกรตแอมป์หลอดรุ่น Sinfonia กำลังขับขนาด 25 วัตต์ ถือว่าขับได้ดี ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ได้พอใจมากนัก เพราะกลาง แหลมกับเบส ยังหาจุดลงตัวที่ไม่ได้รู้สึกว่ากลาง แหลมจะพุ่งมากกว่าได้ยาก

               จึงเปลี่ยนอินทิเกรตหลอด Unison Research จากรุ่น Sinfonia มาเป็นรุ่น Performance ซึ่งได้กำลังขับเพิ่มขึ้นมาอีก 20 วัตต์เป็นกำลังขับ 45 วัตต์ต่อข้าง คราวนี้ เสียงคนละอย่างกันเลย

               ฟังเสียงหัวโน้ตของเสียงเปียโนและกีตาร์ ที่รู้สึกว่าบวมๆ ก่อนหน้านี้จากการใช้อินทิเกรต แอมป์หลอด Unison Research Sinfonia ซึ่งมีกำลังขับเพียง 25 วัตต์ แต่พอเปลี่ยนมาใช้ อินทิเกรตแอมป์หลอด Performance กำลังขับ 45 วัตต์ กลับกระชับและมีน้ำหนักแน่นมาก ยิ่งขึ้น เสียงมีความกระฉับกระเฉง ฟังแล้วโน้ต ดนตรีคึกคักดี ไม่ได้รู้สึกเนือยๆ

               เมื่อกำลังขับของแอมป์มากยิ่งขึ้น เนื้อเสียง ของย่านความถี่กลางแหลมก็รู้สึกถึงมวลเสียงที่ มีมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ถ้าจะถามว่าเสียงสมบูรณ์ แล้วหรือยัง ก็ยัง เพราะยังรู้สึกตงิดๆว่า กลาง แหลมกับความถี่ต่ำนั้นยังเหลื่อมกันอยู่ ไม่ได้ อินเฟสทางสัญญาณ ฟังแล้วยังขาดกลมกลืน จึงคิดว่าต้องอาศัยการเซ็ตอัพลำโพงช่วยแล้วล่ะ

            ปกติในการเริ่มเซ็ตอัพลำโพง ผมมักจะ เริ่มต้นหาความใหญ่ของเสียงก่อน แต่ด้วย ความที่ว่าลำโพง PIEGA MLS3 ท่อนบนมีริบบอน เรียงกันเป็นตับ พอฟังเสียงเบสให้เสียงที่ใหญ่ แล้วนั้น กลางแหลมเสียงยังพุ่งโด่งมากกว่า แต่พอ ขยับลำโพงใหม่ให้กลางแหลมพุ่งน้อยลง กลายเป็นว่าความใหญ่ของเสียงจากเมื่อกี้บาง ลงไปอีก เลยต้องหาสมดุลของเสียงใหม่ คือ เสียงโดยภาพรวมโปร่ง กระจ่าง และให้น้ำหนัก ของเสียงที่หนักแน่น ตรงนี้หากรู้สึกว่ายังขาดๆ เกินๆ ก็อาศัยการโทอินลำโพงช่วยอีกครั้งหนึ่ง

               เมื่อเสียงลงตัวมากยิ่งขึ้น ผมต้องลดมุม โทอินน้อยลงกว่าเดิมอีกหน่อย จึงได้การตอบ สนองความถี่เสียงทั้งหมดที่กลมกลืนต่อเนื่องกัน ดีมาก น้ำหนักจังหวะจะโคนหัวโน้ตในแต่ละย่าน ความถี่เสียงนั้น รู้สึกว่าได้เนื้อเสียงออกมาอย่าง ที่ควรจะเป็น ไม่ได้รู้สึกว่าเนื้อเสียงตอนบน จะบางลงแต่อย่างใดแล้ว มุมโทอินของลำโพง ณ จุดนี้ถึงตำแหน่งนั่งฟังประมาณ 17 องศา เมื่อเทียบแนวขอบลำโพงกับไม้บรรทัด โปรเทกเตอร์

               เรื่องน้ำหนักเสียงและแรงปะทะนั้น ผมแนะนำได้เลยครับ หากฟังแล้วรู้สึกว่าแอมป์ หลอดที่เล่นให้เนื้อเสียงบางขาดอิมแพ็คหรือ แรงปะทะให้ลองดูที่สายไฟเอซีก่อน แค่เปลี่ยน สายไฟเอซีเส้นเดียวเสียงก็เปลี่ยนไปคนละแบบ

               ส่วนสายลำโพงนั้น ผมใช้สายแบบซิงเกิ้ล ไวร์ โดยที่สายลำโพงขั้วบวก “+” ต่อที่ขั้วบวก “+” ด้านความถี่ต่ำ(LF) ของลำโพง และสาย ลำโพงขั้ว “ – ” ผมต่อที่ขั้วลบ “ – ” ด้านความถี่ สูง (HF) ของลำโพง

คุณภาพเสียง

            เริ่มต้นด้วยแผ่นซีดี ประจำปี ของงาน Hong Kong High-End Audio Visual Show 2019: 2019 The Perfect Sound แผ่นนี้จะรวบรวม เพลงจากค่ายดังๆ ไม่ว่าจะเป็น DECCA, Genesis Advanced Technologies, Propius, Swingout Productions และค่ายอื่นๆ มี หลายเพลงที่คุ้นเคย เช่น Verdi/La Traviata: Prelude to Act I, September in Montreal หรือเพลง Ghost Town จากค่าย Swingout Productions หลายห้องในงาน Hong Kong High-End Show ก็ใช้ แผ่ นนี้เปิ ดถือว่าเป็ นแผ่ นซีดีประจำปีของงาน Hong Kong High-End Audio Visual Show ที่ผมชอบมากที่สุดแล้ว สำหรับแผ่นซีดีของงานประจำปี 2019 นี่สำคัญ ห้องโชว์รูมลำโพง PIEGA ก็ใช้แผ่นนี้เปิดเช่นกัน

            หลายท่านมักจะได้ยินเรื่องลำโพงตัวนี้ว่า ให้เรนจ์กว้าง ให้ไดนามิกของเสียงออกดีมาก และผมเชื่อว่า หลายคนมักจะคิดคำถามในใจ “อ๋อ แล้วไงต่อ” เรนจ์เสียงกว้างแล้วยังไงต่อ ไดนามิกกว้างแล้วยังไงต่อ ทำนองนี้

หากใครเคยได้ลองฟัง PIEGA MLS3 แล้ว จะเกิดคำถามต่อว่า

จะมีลำโพงคู่ไหนที่ให้เสียงเหนือกว่า PIEGA MLS3 บ้าง

               จากแผ่นซีดีชุด Hong Kong High-End Audio Visual Show 2019: 2019 The Perfect Sound ถ้าผมจะบอกว่าลำโพง PIEGA MLS3 คือลำโพงที่ให้ เรนจ์เสียงออกมาดีที่สุดและไดนามิกออกมาดีที่สุดใน ระดับราคาลำโพงที่เท่าๆ กัน อย่าเพิ่งตั้งคำถามว่า แล้วยังไง กันก่อนนะครับ ขอผมอธิบายต่ออีกหน่อย

               ในเรื่องของเรนจ์เสียงกว้างอยากให้มองว่า คือ ฝาชีขนาดใหญ่อันหนึ่งซึ่งนำมาครอบความถี่เสียง เอาไว้ ฝาชีนี้เปรียบเสมือนลำโพง ฝาชีเล็กครอบได้แค่ ช่วงความถี่กลางแหลมต้นหรือเบสต้น ฝาชีใหญ่ มาหน่อยก็ครอบได้กว้างขึ้น แหลมขยับไปแหลม ปลาย ส่วนเบสขยับลงมาถึงเบสกลาง ฝาชีขนาดใหญ่ มากขึ้นมาอีกหน่อยก็จะครอบต่ำลงมาถึงเบสลึก เสมือนใช้ซับวูฟเฟอร์ แหลมตอนบนกว้างเสมือนต่อ ด้วย Super Tweeter นั่นคือคำอธิบายที่ผมจะ บอกว่า ลำโพง PIEGA MLS3 ให้เรนจ์เสียงที่กว้าง อย่างนั้นเลย และให้กว้างแบบไม่เสียของด้วย

               เรนจ์เสียงกว้างดีอย่างไร เรนจ์เสียงกว้าง ไดนามิกต้องดีด้วยไหม สองอย่างไม่จำเป็นต้องไป ด้วยกัน เพราะเรนจ์เสียงกับไดนามิกของเสียงคนละ อย่างกัน เช่นกันถ้าเรนจ์เสียงกว้างต้องให้รายละเอียด ของเสียงดีด้วยหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่าไม่เสมอไป เรนจ์กว้างไม่จำเป็นต้องให้รายละเอียดของเสียงใน ทุกย่านความถี่เสียงออกมาดีเสมอไป ถ้าเรนจ์เสียง กว้างรายละเอียดไม่ดีในทุกย่านความถี่เสียงก็มี ผมเลยบอกว่าเรนจ์เสียงกว้างแบบเสียของ ถ้าลำโพงให้ เรนจ์เสียงได้กว้างหมายความว่าลำโพงคู่นั้นจะสร้าง บรรยากาศและความรู้สึกเสมือนว่าอยู่ในเหตุการณ์ นั้นได้มากขึ้น หากเป็นการบันทึกสดๆ ก็เสมือนว่า ตัวเราเข้าไปอยู่ ณ ช่วงเวลานั้นได้ดีมากยิ่งขึ้น

               ในเรื่องเรนจ์เสียงที่ดีของลำโพงคู่หนึ่งเท่าที่ เคยฟังมา ลำโพง PIEGA MLS3 ให้ออกมาครบเครื่อง ที่สุดแล้ว ถ้าเทียบกับลำโพงยี่ห้อหนึ่งซึ่งเป็นไลน์ ซอร์สเช่นกัน ทวีตเตอร์ใช้เป็นริบบอนเรียงกันเป็นแผง

               ส่วนมิดเรนจ์เป็นกรวยไดนามิกในโครงสร้างของกรวย เซรามิกเรียงขนานกันไป แต่แยกเบสออกมาโดยใช้ เป็นซับวูฟเฟอร์โมดูล 2 โมดูลต่อข้าง ซึ่งผมเคยฟังมา และเคยเซ็ตอัพมาก่อน ถ้าเทียบเสียงกัน PIEGA MLS3 เหนือกว่ามาก ส่วนหนึ่งเพราะทั้งกลางและ แหลมเป็นริบบอนที่อยู่ในแผงเดียวกัน แหล่งกำเนิด เสียงจึงเสมือนว่าเกิดจากแหล่งเดียวกัน ความโปร่ง เปิดโล่งของสนามเสียง PIEGA MLS3 โปร่งกว่า ใสกว่า พลิ้วมากกว่า เสียงจากลำโพง PIEGA MLS3 ครบเครื่องทั้งเรนจ์เสียงและไดนามิกของเสียงก็ดีด้วย เช่นกัน ยากนักที่จะหาลำโพงที่ครบเครื่องอย่างนี้ ในระดับราคาเท่านี้

               พิสูจน์จากอะไร พิสูจน์จากเพลง Cantate Domino เพลงนี้ทีมงานคนทำแผ่น Hong Kong High-End Audio Visual Show 2019: 2019 The Perfect Sound คัดมาจากแผ่นในสังกัด Proprius ซึ่งถือว่าเป็นแผ่นปราบเซียนเลย เพลงนี้จะออกมา สมบูรณ์ถ้าลำโพงคู่นั้นให้เรนจ์เสียงกว้างและตอบสนองไดนามิกออกมาได้

               เริ่มต้นเพลงด้วยเสียงออร์แกน ในสมัยโบราณ ออร์แกนถือเป็นเครื่องดนตรีประจำโบสถ์คริสต์ตั้งแต่ สมัยโบราณเลยก็ว่าได้ ต้นกำเนิดเสียงของออร์แกน มาจากลม ซึ่งบังคับให้ลมไหลผ่านท่อที่มีขนาด ต่างๆ กัน ทำให้เกิดเสียงที่มีความถี่แตกต่างกัน และออร์แกนหนึ่งเครื่องสามารถทำเสียงต่างๆ ได้ เท่ากับเครื่องดนตรีหลายชิ้นมารวมกัน ท่อออร์แกน มีทั้งที่เป็นไม้และเป็นโลหะ

               จากเพลงนี้ ลำโพง PIEGA MLS3 ให้เสียงของ ออร์แกนใหญ่ มวลใหญ่มาก หัวเสียงจะแน่นไม่ได้ แน่นแบบพละกำลังเหมือนเสียงกลองหรือเสียงเบส แต่แน่นตามเสียงลมที่ไหลตามท่อ ฮาร์โมนิกส์ของคลื่นเสียงซึ่งปลดปล่อยพลังงานของความถี่ต่ำออกมา มากมาย เสียงที่ตามออกมาจากเสียงออร์แกนคือ คลื่นความถี่ต่ำๆ ที่เกิดจากการกำทอนภายในท่อ รวมถึงเสียงซึ่งรู้สึกเหมือนความถี่เสียงที่สั่นแยกย่อยจากเสียงหลักอีกชั้นหนึ่ง

               ลำโพง PIEGA MLS3 ให้ความรู้สึกของเสียงออร์แกนดังลอยอยู่กลางห้อง แผ่เสียงเต็มผนังของห้องด้านหลังจนยันผนังด้านข้างทั้งซ้ายและขวา อีกทั้งคลื่นความถี่ต่ำที่ลงแผ่ลงมาและเคลื่อนมาสัมผัสทางกายที่ตำแหน่งนั่งฟังโดยที่เสียงที่ได้ยินผ่านสัมผัสทางหู กับความถี่ของคลื่นความถี่ต่ำๆ ซึ่งไม่สามารถสัมผัสผ่านทางหูแต่สัมผัสโดยผิวกายนั้นเดินทางมาถึงพร้อมกัน แต่ไฮไลต์ของเพลงนี้คือท่อนร้องของเพลงช่วงที่เสียงร้องประสานขึ้นมาพร้อมเสียงเครื่องดนตรีจากวงออร์เคสต้าและเสียงของออร์แกน

               ผมทึ่งในความยอดเยี่ยมของลำโพง PIEGA MLS3 ซึ่งถ่ายทอดคุณภาพเสียงทุกอย่างไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องรายละเอียดของเสียงร้องประสานไดนามิกหนักเบาของแต่ลเสียงรายละเอียดของเสียงเครื่องดนตรีจากวงออร์เคสตร้าที่ยังคงความชัดเจนและรายละเอียดของเสียงไว้ได้อย่างทั้งหมด ไดนามิกมวลเสียงของออร์แกนที่ถ่ายทอดคุณภาพเสียงออกมาได้อย่างสมบูรณ์ มิติโฟกัสเวทีเสียงก็ไม่ได้รวนยังคงความนิ่งไว้ได้อย่างเหนียวแน่น นั่นเป็นเพราะการตอบสนองความถี่เสียงของริบบอนของย่านความถี่เสียงกลางและสูง ซึ่งสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วฉับไว ทำให้การตอบสนองความถี่เสียงต่างๆ ทำได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว และมีความถูกต้องของเสียงที่สูงมากทีเดียวจึงทำให้เราได้ยินเสียงจากลำโพง PIEGA MLS3 ถ่ายทอดออกมาได้อย่างถูกต้อง เสียงออกมาอย่างที่ควรจะเป็น ทำนองออกมาเป๊ะเวอร์เลย

               ซึ่งตรงนี้ผมเคยพูดเลยครั้งว่า หากย่านความถี่เสียงกลางสูงตอบสนองได้อย่างรวดเร็วฉับไว คุณภาพของความถี่ต่ำจะถ่ายทอดออกมาได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น ลำโพงหลายคู่เมื่อฟังเพลงนี้แล้วเจอท่อนนี้ ไดนามิกของเสียงกลับนุ่มไปเลย อิมแพ็คของหัวเสียงก็ลดตามลงมาด้วยเช่นกัน เพื่อต้องการให้ลำโพงยังถูกควบคุมและถ่ายทอดเสียงต่างๆ ได้ดี รายละเอียดของเสียงก็ไม่ได้ชัดเจนอย่างที่ลำโพง PIEGA MLS3 ให้ออกมา บรรยากาศและความโปร่งของสนามเสียงนั้นถือได้ว่า ลำโพง PIEGA MLS3 ถ่ายทอดมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ ใครมีแผ่นซีดีแผ่นนี้หรือแผ่นดั่งเดิมจากค่าย Proprius ลองเปิดเทียบเลยครับ เปิดดังๆ เลย แล้วลองดูว่าลำโพงคู่ที่มีนั้นถ่ายทอดเสียงออกมาเป็นเช่นไร

               ในความใสของย่านความถี่กลางสูงของลำโพง PIEGA MLS3 หากนักเล่นไม่เคยฟังลำโพงของ PIEGA MLS3 คงจะจินตนาการไม่ออกว่าใสเป็นประกายระยิบระยับเป็นอย่างไร แต่หากใครเคยได้ลองฟัง PIEGA MLS3 แล้วจะเกิดคำถามต่อว่า จะมีลำโพงคู่ไหนที่ให้เสียงเหนือกว่า PIEGA MLS3 บ้าง

               ยอมรับว่าแรกๆ ยังค่อนข้างกังวลว่า PIEGA MLS3 เนื้อเสียงกลางและแหลมตอนบนจะบางหรือเปล่า เพราะเท่าที่ฟังในงานเครื่องเสียงที่ฮ่องกงในงาน Hong Kong High-End Show ผมรู้สึกว่าเสียงมันตอบสนองความถี่เสียงได้ไว แต่ฟังแล้วรู้สึกว่าบางไปนิดหน่อย

               เพลง “Ghost Town” หลายท่านอาจจะคุ้นเคยกันบ้าง เพราะเป็นเพลงที่ใช้ในการทดสอบเครื่องเสียงค่อนข้างบ่อย เพลงนี้ขึ้นต้นด้วยเสียงกีตาร์ แค่ไดนามิกอิมแพ็คหัวเสียงของเสียงกีต้าร์ต้นเพลงก็เล่นเอาทึ่งแล้ว มวลน้ำหนักแน่นและให้รายละเอียดของเส้นสายกีตาร์ได้ดีมาก เสียงร้องให้มวลที่เข้มดีมากทีเดียวรายละเอียดของเสียงร้องนั้นมีหลายละเอียดของเสียงเพิ่มขึ้นมามากมาย

               เพลงนี้ผมเคยฟังกับลำโพงที่มีราคาค่าตัวแพงกว่าลำโพง PIEGA MLS3 แน่นอนว่ามวลอิมแพ็คต้นดีกว่า PIEGA MLS3 แต่ความแตกต่างที่ PIEGA MLS3 ให้ออกมาเหนือกว่า ข่มลำโพงที่มีราคาค่าตัวแพงกว่า คือรายละเอียดเสียง โปร่ง ระยิบระยับ ได้ยินถึงรายละเอียดของเสียงที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในเยอะกว่า จากเพลงนี้ผมบอกได้เลยว่า หากลำโพง PIEGA MLS3 ได้จัดชุดกับแอมป์ซึ่งมีกำลังขับมากขึ้น อย่างเช่นแอมป์โซลิดสเตทกำลังขับมากกว่า 400 วัตต์ หรือแอมป์หลอดกำลังขับมากกว่า 100 วัตต์ เสียงจะยิ่งหลุดตู้มากกว่าเดิมอีกค่อนข้างมากเลยทีเดียว กำลังขับยิ่งสูงยิ่งไปขับความพลิ้วของเสียงให้ออกมาอีก น้ำหนักพละกำลังของเสียงจะเพิ่มขึ้นอีกมากมาย

               เหตุผลที่มั่นใจอย่างนั้นเพราะว่า เมื่อเปรียบเทียบจากเพลงในแทร็กที่ 6 คือเพลง Zapateado เสียงเพลงทำนองสแปนิชเสียงกีตาร์ระหว่างอินทิเกรตแอมป์หลอดกำลังขับ 25 วัตต์กับอินทิเกรตแอมป์หลอดกำลังขับ 45 วัตต์ แตกต่างกัน อิมแพ็คของเสียงกีตาร์แอมป์หลอดกำลังขับ 45 วัตต์ให้อิมแพ็คแน่นกว่า รายละเอียดและฮาร์โมนิกส์ของเสียงดีกว่า ยิ่งช่วงที่ไม่มีดนตรีมีแต่คนเต้นประกอบเพลงโดยใช้รองเท้าและส้นเท้ากระแทกลงพื้นเป็นจังหวะ ซึ่งทางสเปนเรียกว่า Zapateado dance ความแตกต่างของเสียงนั้นคนละอย่างกันเลย แอมป์กำลังขับมากกว่าให้คุณภาพของเสียงออกมาดีกว่าค่อนข้างมากทีเดียว

               เพลง “September in Montreal” / Anne Bisson Trio – FOUR SEASONS IN JAZZ AT BERNIE’S สำหรับชุดนี้หากเป็นซีดี จะทำการ Mastered โดย Scott Sedillo ที่ Bernie Grundman Mastering เพลงนี้เป็นเพลงโปรดของผมเสียด้วย และลำโพง PIEGA MLS3 ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง กับเครื่องดนตรีสามชิ้น เปียโน เบส และกลอง โดยที่ Anne Bisson เล่นเปียโนและร้องเพลงคู่ไปด้วย

               เอาแค่เสียงกลองสแนร์เริ่มต้นก็ต้องร้องว้าวแล้ว เสียงเบสขึ้นตามมา เสียงกดสายเบสคมแน่น เสียงชิ้น ดนตรีสองชิ้นนี้ ลำโพง PIEGA MLS3 ให้เสียงเคลียร์ สะอาดอย่างมาก เสียงโปร่ง โล่ง ไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่อย่างไร ตามมาด้วยเสียงร้องของ Anne Bisson ซึ่งลำโพง PIEGA MLS3 ให้รายละเอียดของเสียงร้อง ออกมายอดเยี่ยมมากเช่นกัน เสียงมีความชัดเจน น้ำหนัก ไดนามิกของเสียงร้อง เสียงหลบก็ยังคง ถ่ายทอดรายละเอียดของเสียงได้เป็นอย่างดี ผมรู้สึก ว่าลำโพง PIEGA MLS3 ถ่ายทอดออกมาได้อย่าง สมบูรณ์ โดยเฉพาะเสียงเปียโนนั้นพลิ้วและกังวาน มาก ยิ่งเสียงเคาะคีย์เปียโนหัวโน้ตท้ายเพลง เคยฟัง ลำโพงหลายคู่เสียงจะขุ่นกว่านี้หน่อย แต่ลำโพง PIEGA MLS3 ให้เสียงออกมาเสมือนจริงมากๆ หากเปิดดังสักหน่อยก็จะรู้สึกเหมือนว่าเล่นเปียโน ในห้องฟังเพลงเลย

บทสรุป

            ผมเคยฟังลำโพงริบบอนมาหลายรูปแบบ ทั้งที่ ใช้เฉพาะทวีตเตอร์เพียงอย่างเดียว ทั้งที่เป็น ไลน์ซอร์สโดยใช้เฉพาะทวีตเตอร์เรียงกันเป็นแผงสูง หรือจะใช้เป็นแผงริบบอนทั้งแผงเลย จาก ประสบการณ์ที่ผ่านเมื่อมาเปรียบเทียบในความ สมบูรณ์ของเสียงลำโพงแล้ว ต้องยอมรับว่า PIEGA MLS3 ถ่ายทอดเสียงออกมาได้อย่างสมบูรณ์มาก

               ส่วนหนึ่งเพราะในการถ่ายทอดเสียงโดยใช้ย่าน ความถี่เสียงกลางและสูงนั้นใช้ริบบอนทั้งหมดจำนวน 4 ชุดเรียงกัน ส่วนเบสใช้กรวยไดนามิกขนาด 7 นิ้ว 2 ตัว และพาสซีพอีก 2 ชุด เรื่องความโปร่ง รายละเอียดของเสียง มิติโฟกัส เวทีเสียงทั้งด้านกว้าง ด้านลึก เนื้อเสียงและรายละเอียดของเสียงนั้น ไม่ใช่ เรื่องที่ต้องกังวลหรือถามว่าจะดีหรือเปล่า

               ความไวของลำโพง 92dB ความต้านทานปกติ 4 โอห์ม รองรับกำลังขับของแอมป์ตั้งแต่ 20 – 500 วัตต์นั้น ดูแล้วการหาแอมป์ขับไม่ได้เรื่องที่ต้องกังวล มากนัก และอิมพีแดนซ์ต่ำสุดไม่ได้โหลดเหมือน ลำโพงริบบอนบางยี่ห้อซึ่งโหลดอิมพีแดนซ์ต่ำมากๆ ต้องหาแอมป์กำลังขับสูงๆ มาเล่นอย่างเดียว

               ถ้ามองกันที่ราคาและคู่แข่งลำโพงในท้องตลาด บ้านเรา ณ ขณะนี้ ผมว่าลำโพงนี้ให้เสียงกลาง แหลม เรื่องความโปร่ง เวทีเสียง และรายละเอียดของเสียง ที่เหนือกว่าลำโพงยี่ห้ออื่นๆ ค่อนข้างมากทีเดียว ฟังได้ทุกแนวเพลงทุกแนวดนตรี ไม่ว่าจะเป็น เพลงสมัย สมัยเก่า ความใหญ่ของเสียงและสนาม เสียงนั้น บอกได้เลยว่าไม่แพ้ลำโพงฮอร์นยุคเก่าๆด้วย เช่นกัน ถ้าเป็นแนวแจ๊ส บอกได้เลยครับว่า ลำโพง PIEGA Master Line Source 3 กินขาดจริงๆ ข้อเสีย ของ PIEGA Master Line Source 3 มีแค่เรื่องเดียว คือเซ็ตอัพต้องแม่นมากๆ นอกเหนือจากเรื่องนี้ก็ไม่มี อะไรให้ต้องกังวลแล้วครับ PIEGA Master Line Source 3 คือลำโพงที่เมื่อได้ลองฟังยิ่งกว่าโดนป้าย ยาเสียอีก Highly Recommend เลยครับ เพราะงาน จากสวิตเซอร์แลนด์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ถ้าเปรียบใน แง่เสียงกับโลกศิลปะ PIEGA Master Line Source 3 คือประติมากรรมด้านออดิโอที่ทำให้เราสัมผัสเสียง มิติคลื่นเสียงได้อย่างแท้จริง. ADP