พงศ์ทิพจักร์

NAD: T778 เป็น A/V Receiver รุ่นใหม่ล่าสุด ในขณะเขียนต้นฉบับนี้ยังไม่ได้วางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ บริษัท Conice Electronic จำกัด ได้ส่งมาให้ทดสอบก่อน เพื่อดูว่า A/V Receiver (บางคนอาจจะเรียกสั้นๆว่า AVR) รุ่นนี้มีประสิทธิภาพสูง มีคุณสมบัติอะไรโดดเด่นบ้าง ใครที่เป็น Fanclub NAD มาอย่างยาวนาน (เช่นผม) หรือมีความสนใจใน AVR ตัวนี้ ติดตามกันได้เลยครับ

รูปร่างหน้าตาของกล่องที่ส่งมาให้มีขนาดไม่ได้ใหญ่โตเหมือน AVR ทั่วไปที่คุ้นเคยกัน

แกะกล่องออกมา ข้างในก็จะประมาณนี้

ด้านในกล่อง อุปกรณ์ต่างๆ แยกออกมาใส่กล่องต่างหาก ทำให้ดูเรียบร้อยเป็นระเบียบ และไม่ต้องกลัวอุปกรณ์เล็กๆ ที่อาจจะตกหายไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

ภายในกล่อง Accessories มีการจัดวางอุปกรณ์ของเครื่องไว้ในช่องอย่างเป็นระเบียบ ดูหรูหรา ไฮโซดีทีเดียว

เห็นหน้าตาเครื่องครั้งแรกต้องบอกว่า NAD ทำ Design ต่างออกจากรุ่นเดิมเยอะเลย ตั้งแต่ขนาดของเครื่องที่ไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารเหมือน AVR ทั่วไป ขนาดเครื่องที่แจ้งไว้คือ 435 x 140 x 430 mm น้ำหนักตัวก็แค่ 12.1 กิโลกรัม เห็นรูปร่างกับน้ำหนักตอนแรก ผมยังแอบคิดเหมือนกันว่า เครื่องเล็กแบบนี้จะขับลำโพงไหวเหรอ แต่ด้วยความเชื่อมั่นใน NAD ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังในเรื่องของเสียงเลย คิดว่าครั้งนี้ก็น่าจะไม่ผิดหวังอีกเช่นกัน

พูดมาถึงตรงนี้ต้องขอเล่าเรื่องราวของเครื่องเสียงยี่ห้อ NAD ก่อน ว่าทำไมผมถึงชอบ และยังเป็น FC ของเครื่องเสียงยี่ห้อนี้อยู่ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่ากว่ายี่สิบปีที่เริ่มซื้อ เริ่มเล่นเครื่องเสียงแบบจริงจัง ยี่ห้อแรกที่ซื้อก็คือชุดเครื่องเสียงแยกชิ้นของ NAD และลำโพงของ NHT เพราะได้ไปยินเสียงจากร้านค้าร้านหนึ่ง และชื่นชอบในน้ำเสียง บุคลิกลักษณะ Design ของตัวเครื่อง ทำให้เมื่อมีโอกาสได้หามาใช้เองจึงเลือกใช้ยี่ห้อนี้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจนถึงปัจจุบัน ผมก็ยังได้ใช้สินค้าของทาง NAD และ NHT ที่ซื้อตั้งแต่ครั้งแรกอยู่อย่างไม่มีปัญหา อุปกรณ์บางตัวก็ยังใช้เปิดฟังทุกวัน อาจจะมีบางอย่างที่เสียบ้างตามกาลเวลา แต่ก็ได้รับการดูแลซ่อมแซมจากทาง Conice Electronic ด้วยดีเสมอมา เรื่องนี้ต้องขอชมเชย และอยากให้ร้านเครื่องเสียงต่างๆ ดูแลลูกค้าให้ดีเหมือนกับทาง Conice แค่นี้ผมว่าผู้บริโภคก็จะมีความมั่นใจในตัวสินค้าว่าสามารถใช้งานอุปกรณ์นั้นได้อย่างสบายใจอีกยาวนาน

ลักษณะเด่นของ T778 A/V Surround Amplifier ที่ทาง NAD บอกว่าเป็น AVR ระดับอ้างอิงของ NAD นั้น มีดังนี้

๐ Efficient Distortion-free Amplification อย่างที่บอกไว้ครับ ว่าเรื่องพละกำลังของ NAD นั้น ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว โดยทาง NAD ใช้ระบบเทคโนโลยี Hybrid Digital Amplifier ที่พัฒนามาล่าสุด ทำให้เครื่องเล็กๆ เบาๆ แบบนี้สามารถปล่อยพลังได้ถึง 140 Watts FTC (มาตรฐาน Federal Trade Comission) ที่ 8  Ohms และถ้าเปิดเสียงทุกย่านความถี่ (Full Bandwidth) แบบเต็มที่ (Full Disclosure Power) 9 แชนเนลพร้อมกัน พลังงานที่ออกมาก็ยังสูงถึง 85 Watts ซึ่งรู้ๆ กันว่า Watt ของแอมป์ NAD เป็น Watt เต็มๆ ที่ไม่ได้แต่งแต้มค่าให้ spec ดูสูงเกินจริง เรื่องนี้ไว้ใจได้

๐ Fully Feature Surround สำหรับ Object-base Audio T778 รองรับระบบเสียงทั้ง Dolby Atmos  และ DTS:X โดยตัว Pre processing สามารถถอดรหัสได้ 7.2.4 โดย 9 แชนเนลที่มี Amplifier และอีก 2 แชนเนลเป็น Pre-out ใช้ต่อแอมป์ภายนอกเพื่อให้รองรับ Dolby Atmos 7.2.4 เต็มระบบ

๐ Complete and Compact เนื่องจากการพัฒนาของ Amplifier ทำให้ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ขนาดใหญ่ NAD สามารถออกแบบ T778 ให้มีความกะทัดรัด ทันสมัยแบบ Minimalist ดูมี Design ในขณะที่ยังให้ประสิทธิภาพของเครื่องได้เต็มที่ตามแบบฉบับของ NAD เพื่อให้ผู้ฟังมีความสนุกสนานรื่นรมย์กับทั้งเสียงดนตรีและเสียงจากภาพยนตร์

๐ High-Res BluOS enabled Network Streaming มีระบบ BluOS ของ NAD เอง ที่ใช้ Application บน Smart Phone เพื่อควมคุมการเล่นเพลง Network Radio หลายพันช่อง สามารถ Full  decoding MQA High-Res Streaming จาก TIDAL รวมถึง Spotify, KKBOX, LiveXLive, Napster, TuneIn ฯลฯ

๐ Dirac Live Room Correction ใช้ระบบปรับเสียงของ Dirac EQ system แต่ที่มากับเครื่องจะเป็นLE version ปรับได้แค่ความถี่ 500Hz ลงมาเท่านั้น ซึ่งทาง NAD คงประเมินดูแล้วว่าเป็นความถี่ที่น่าจะเป็นปัญหาของระบบส่วนใหญ่ แต่ถ้าใครต้องการปรับให้ได้ตั้งแต่ 20-20,000 Hz ก็สามารถซื้อ Full version upgrade จาก Internet ได้เลย ราคาอยู่ที่ 99 USD

หลังของเครื่องด้านบนซ้ายจะเห็นได้ชัดเจนคือ Slot ว่างที่เขียนว่า MDC (Modular Design Construction) ช่องนี้ NAD ได้เตรียมเผื่อไว้สำหรับการ Upgrade ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นมา เนื่องจากว่าการพัฒนาระบบ Digital formats, เทคโนโลยีแบบต่างๆ ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่ง T778 ได้เตรียมการเผื่อไว้ 2 slots เพื่อให้เครื่องทันสมัยอยู่ตลอด เช่น ถ้าต้องการ Upgrade ระบบภาพให้เครื่องรองรับระบบ HDMI 2.1  ก็เพียงแต่ใส่บอร์ดเข้าไปใน MDC นี้ก็เป็นการ Upgrade เรียบร้อย ไม่ต้องซื้อหรือเปลี่ยนเครื่องใหม่ และไม่ต้องส่งเครื่องกลับไปกลับมาถึงศูนย์บริการ เสี่ยงต่อการสะเทือนเสียหายจากการขนส่ง โดยสามารถทำได้เองไม่ยาก

ถัดจากช่อง MDC ลงมา เป็นช่อง Input HDMI 2.0b 5 ช่อง ส่วน Output มี 2 ช่อง โดยมีแค่ช่องHDMI Out1เท่านั้นที่เป็น 4K UHD Video Pass-through ต่อมาก็เป็นช่องต่อมาตรฐานอื่นๆ ได้แก่… ช่อง LAN, USB, ช่อง Pre out ที่เครื่องสามารถทำหน้าที่เป็น Surround Pre-processor ได้ โดยสามารถถอดรหัสสูงสุดคือ Atmos 7.2.4, มีช่อง RCA Audio Inputs, RCA Phono Stage 1 ช่อง ร่วมกับช่อง Ground, Zone 2 RCA Out, Coaxial 2 ช่อง, Optical Digital Input 2 ช่อง, RS232C, Triggers IR slots และขั้วต่อสายลำโพง 9ชุดที่สามารถต่อได้ทั้งแบบสายเปล่า, Spades และ Banana ส่วนด้านขวามือสุดเป็นช่องต่อสายไฟเข้าเครื่อง และ สวิตช์เปิด-ปิดเครื่อง

Remote ที่ให้มามีสองอัน ตัวหลักสามารถควบคุมเครื่องได้ทั้งหมด ตัวเล็กใช้สำหรับควบคุม Zone2 โดย Remote ตัวใหญ่มีไฟที่ปุ่มขึ้นสีฟ้า เมื่อมีการขยับ Remote หรือมีการกดปุ่ม ทำให้สะดวกเมื่อใช้งานในห้องที่มืด แต่การออกแบบปุ่มของ Remote จะแปลกหน่อย ตรงที่ปุ่ม OK ตรงกลาง Cursor ไม่ได้เป็นการเลือกในเมนูนั้นๆ ถ้าจะเลือกให้กดปุ่มลูกศรขวามือจะเป็นการเลือกเมนู ซึ่งต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยสักพัก ทำให้ผมกดผิดประจำในตอนแรก

Microphone ที่มากับเครื่องเพื่อใช้ในการปรับเสียงของ Dirac Live สามารถต่อเข้า AVR โดยตรง โดยแปลงหัวเป็น USB หรือสามารถต่อเข้าคอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรแกรม Dirac Live เลยก็ได้

ระบบ BluOS ต้องใช้อุปกรณ์ตัวนี้ต่อเข้ากับช่อง USB ของเครื่องที่ด้านหน้าหรือด้านหลังของเครื่อง แล้วค่อยติดตั้งแอพ BluOS ลงในมือถือเพื่อเชื่อมต่อกับ AVR

คู่มือการใช้งานให้มาแค่นี้ แต่ถ้าใครต้องการแบบตัวเต็มก็สามารถเข้าไปโหลดไฟล์ pdf จากเว็บไซต์ของทาง NAD ได้

ได้เวลาเชื่อมต่อสายต่างๆ เพื่อทดสอบแล้วครับ (Reviewer สู้ชีวิต ทำเองทุกอย่าง 555)

สิ่งที่ชอบอีกอย่างหนึ่งคือ หน้าจอของเครื่องด้านหน้าเป็นแบบ Full-color TFT Touch Screen สามารถแตะสัมผัสตั้งค่าต่างๆ ได้จากหน้าเครื่อง ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อทีวีเพื่อตั้งค่า เพราะเมนูการตั้งค่าบนหน้าจอทีวีหรือโปรเจ็กเตอร์ก็เป็นเมนูเดียวกันที่โชว์อยู่หน้าเครื่องนี้

หน้าจอ Touch Screen แบบสี ตอนเปิดเครื่องครั้งแรกดูสวยงามแหวกแนวจาก NAD รุ่นเดิมๆ ที่คุ้นเคยกัน

การตั้งค่าต่างๆ สามารถใช้ touch screen เปลี่ยนที่หน้าเครื่องได้เลย

เมื่อเวลาเล่นเพลงผ่านระบบ BluOS จาก Smart Phone หน้าจอนี้ก็แสดงข้อมูลเพลงที่กำลังเล่นต่างๆ สวยงาม ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนหน้าจอเป็นรูปแบบได้หลากหลายตามต้องการ หรือถ้าใครไม่ต้องการให้จอนี้แสดงข้อมูลใดๆ เนื่องจากอาจเป็นการรบกวนสายตาในขณะชมภาพยนตร์ก็สามารถลดความสว่างหน้าจอหรือปิดเลยก็ได้

ส่วนใครที่ถนัดปรับจากหน้าจอดิสเพลย์ เนื่องจากเห็นชัดเจนและคุ้นเคยมากกว่า ก็สามารถทำได้ตามปกติ

ต่อสาย ลองฟังก์ชั่นต่างๆ เรียบร้อย ก็ได้เวลา Fully Calibration แล้ว โดยการทดสอบในตอนแรกนี้ผมใช้ NAD T778 ต่อเข้ากับลำโพง NHT ที่ผมมีอยู่ในระบบ 5.1 ก่อน เพื่อทดสอบพละกำลังของเครื่อง เหมือนกับการใช้งานทั่วไปภายในบ้านที่มีลำโพง 5 ตัวกับซับวูฟเฟอร์ตัวเดียว ว่าการ Setup แบบนี้ Dirac  Live จะทำได้ดีขนาดไหน เสียงที่ออกมาจะเป็นอย่างไรบ้าง โดยลำโพงคู่หน้าที่ใช้ทดสอบเป็น NHT Classic 3 ลำโพงเซอร์ราวด์เป็น SB2 ส่วนซับวูฟเฟอร์ใช้ตัวเดียวคือ Paradigm Signature SUB25

ไมค์ที่ติดมากับเครื่องใช้ในการทำ Dirac Live และไมค์ Earthworks ใช้เพื่อ Manual Calibration และทดสอบความถี่หลังทำ Dirac Live

ก่อนการทำ Dirac Live ก็ทำการ Manual Calibration ก่อน เพื่อหาตำแหน่งลำโพงต่างๆ ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม หลีกเลี่ยง Sound Distortion หลักๆ ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Room  Mode (Standing Waves), SBIR, Comb filtering ฯลฯ อย่างเช่นในเรื่องของ Room Mode จากรูปในตอนแรกผมได้วางลำโพง Subwoofer ไว้ที่ระหว่างลำโพง Center และ Front right ซึ่งมักเป็นตำแหน่งที่คนชอบวางมากที่สุด เนื่องจากง่ายและเคยมีคำแนะนำไว้อย่างหนักแน่นว่า ลำโพง Subwoofer ต้องวางไว้ด้านหน้าข้างลำโพงหลักเท่านั้น แต่ถ้าใครได้เคยอ่านบทความหรือติดตามที่ผมเคยพูดจะรู้ว่า การแก้ไขปัญหา Room Mode นั้น ลำโพง Subwoofer ต้องวางในตำแหน่งที่เป็น Null ของ Mode ดังนั้นในแต่ละห้องตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับลำโพง Subwoofer จึงไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดียวที่เดียวเหมือนกันทุกห้อง ขึ้นอยู่กับขนาดของห้อง ผนังต่างๆ และ Acoustics ที่มีอยู่ในห้อง การวางลำโพง Fix แค่เพียงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเหมือนกันทุกห้องจึงไม่สามารถแก้ไขหรือลดความรุนแรงของ Room Mode ทำให้เสียงที่ออกมาก็ต้องCompromise ลงไป ถ้าใครสนใจในรายละเอียดของเรื่องนี้สามารถเข้าไปอ่านบทความที่ผมเคยเขียนไว้ได้ที่ https://moraekhometheater.com/home/archive/2014/solutions-to-standing-waves/ หรือถ้าใครชอบแนวฟังก็ตามไปฟังได้ที่นี่ครับ https://www.youtube.com/watch?v=yKFoPcIp6n0&t=821s

ทำการวัดค่า FFT 1/24 Octave ที่ตำแหน่งนั่งฟังหลัก โดย Subwoofer วางตำแหน่งยอดนิยมอยู่ระหว่างลำโพง Center และ Front Right ผลออกมาแน่นอนตามคาด มีภูเขาสองลูกอยู่ที่ตรงความถี่ยี่สิบกว่า กับประมาณแปดสิบ Hz ส่วนที่ความถี่สี่สิบก็มี Dip ลงไปมหาศาล ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการวาง Subwoofer ของ System ที่กำลังทดสอบภายในห้องไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่จะอยู่ตรงไหนได้บ้างเพื่อจะได้ทำการย้ายอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องมาลองผิดลองถูกกันมาก ก็กลับไปอ่านบทความเรื่องของ Room Mode เพิ่มเติมดูได้ครับ

Trick ที่แนะนำในการหาตำแหน่งลำโพง Subwoofer ก็คือ หา Dolly มาใส่…. แล้วชีวิตจะง่ายขึ้นอีกเยอะเลยครับ

หลังจากหาตำแหน่งตามวิธีที่เคยแนะนำ พบว่า System นี้ ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับ Subwoofer ตัวเดียว คืออยู่ด้านข้างขวาตรงกลางห้อง

เมื่อวัด Frequency Response โดยใช้ FFT 1/24 Octave กราฟความถี่ต่ำที่ได้ดีขึ้นเยอะ ไม่มีภูเขาสองลูกละ Dip ก็ดูดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงกับเรียบเสียทีเดียว ซึ่งถ้าได้ Subwoofer สองตัวหรือสี่ตัว แน่นอนว่ากราฟก็น่าจะดูดีกว่านี้ แต่ก็พอจะมั่นใจว่าตำแหน่งที่ Subwoofer วางอยู่ตอนนี้ไม่ได้ส่งเสริมทำให้ Room Mode ของห้องมีความรุนแรงมากเกินไป การใช้ Dirac Live ต่อก็จะได้ประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างที่เคยบอกไว้ครับ ว่าการใช้ Auto-Calibration นั้น สิ่งที่สำคัญคือ ตำแหน่งลำโพง Acoustics ต่างๆ ภายในห้องต้องไม่มีความผิดปกติมากเกินไป ไม่อย่างนั้นการใช้โปรแกรม Auto พวกนี้ก็จะทำให้เสียงออกมาเพี้ยน ไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น

สำหรับการใช้ Dirac Live นั้น ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถทำได้เองอยู่แล้ว ขั้นตอนก็ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน ขั้นตอนแรกก็เลือก AVR ที่อยู่ในวง LAN เดียวกับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ปรับ ส่วนไมค์ที่ใช้ปรับก็สามารถต่อกับตัวเครื่อง T778 โดยใช้ Adapter แปลงจากหัว 3.5mm เป็น USB หรือ สามารถต่อเข้าคอมพิวเตอร์โดยตรงเลยก็ได้ แล้วทำการ Select  Recording Device ตามรูปที่แสดง

ขั้นตอนต่อมาเป็น Volume Calibration ก็ทำการปรับความดังของลำโพงแต่ละแชนเนลให้มีความดังออกมาเท่ากัน เท่าที่ลองมาในชุดของผม Level ของ Subwoofer ปรับให้ดังกว่าแชนเนลอื่นๆ สัก 2-4 dB แต่อยู่ในความดังปกติอยู่ใน Range ของสีฟ้า ผมว่าให้เบสในปริมาณที่เหมาะสมไม่เบาเกินไป

ทำการเลือกรูปแบบการฟังของเราว่าเป็นแบบไหน นั่งดูกี่คน เป็นโซฟาหรือเก้าอี้ตัวเดียว ก็สามารถเลือกดูตามรูปได้

เครื่องก็จะทำการปล่อยสัญญาณ Sweep ไปที่แต่ละลำโพง เพื่อวัดค่าต่างๆ ทั้งในส่วนของ Frequency Domain และ Time Domain เสร็จในแต่ละตำแหน่งก็เลื่อนไมค์ไปตามตำแหน่งในรูปที่แสดงไว้

ขั้นตอนต่อมาก็เป็นการกำหนด Target Curve ในลำโพงแต่ละตัว โดย Dirac Live LE ที่มากับเครื่องสามารถตั้ง Target Curve ได้ระหว่าง 20 – 500 Hz แต่ถ้าใครต้องการใช้เป็น Version เต็มก็สามารถ Upgrade เป็น Dirac Live FULL ได้ สำหรับในเรื่องของการกำหนด Target Curve ว่า Curve แบบไหนถึงให้เสียงดีตามที่ต้องการก็สามารถเข้าไปอ่านบทความนี้เพิ่มเติมนี้ได้ https://moraekhometheater.com/home/archive/2020/target-curve/

หลังจากทำ Dirac Live ก็เอาโปรแกรมที่เป็น 3rd Party มาวัดดู FFT อีกครั้งว่าดีขึ้นขนาดไหน ซึ่งจากกราฟก็พบว่า การทำ Dirac Live ให้ผลออกมาดี กราฟมีความ Smooth มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากโปรแกรมไปทำการปรับทั้งในส่วน Time Domain และ Frequency Domain ทำให้กราฟที่ออกมามีความเรียบตาม Target Curve ที่ตั้งไว้ แต่อย่าลืมว่าตำแหน่งลำโพงต้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนนะ ถ้าจำได้กราฟรูปแรกวาง Subwoofer อยู่ข้างลำโพง Front Right แล้วมีภูเขาอยู่สองลูกใหญ่ๆ ตรงกลางเป็น Dip ลึก  แบบนี้ถ้าเอาไปเข้าโปรแกรม Dirac Live เลย จะทำให้การจัดการตรงนี้โปรแกรมต้องใส่ Filter มากเกินไป  ผลจะตามมาคือ ความเพี้ยนของเสียง ในขณะที่ความเรียบของกราฟอาจไม่ดีขึ้น หรือแค่เปลี่ยนนิดหน่อย  ดังนั้น หลักการที่สำคัญในก่อนการทำ Auto-calibration ก็คือ ตำแหน่งลำโพงต่างๆ ต้องอยู่ในที่ที่ถูกต้องเหมาะสมก่อน แล้วค่อยใช้โปรแกรม Auto-calibration ต่างๆ ตามมา

ทำการวัด Full Band Frequency Response ความถี่มากกว่า 500Hz ที่ไม่ได้ถูกจัดการโดย Dirac Live ก็คือได้ว่ามีความ Smooth ไม่มี Curve ที่ Tilt ลงมาผิดปกติ ซึ่งผมว่าถ้าห้องไหนมีความผิดปกติตรงนี้ หรือมีการใช้ลำโพง Main หลายๆ ยี่ห้อร่วมกัน การทำ Dirac Live ตลอดทั้ง Full Band ก็มีความจำเป็น แต่ถ้าในสถานการณ์ที่ไม่ได้มีอะไรผิดปกติมาก ลำโพงเป็นยี่ห้อเดียวกัน Series ใกล้เคียงกัน มีการ Setup ลำโพงที่ดี  การใช้แค่ Dirac Live LE ก็ถือว่าเพียงพอ

ทดสอบการ Decode เสียงโดยต่อ Pre-out ไปยังชุดลำโพงระบบ Atmos 7.1.4 ใน System ลำโพง Meyer Sound ที่ผมใช้อยู่ เพื่อทดสอบ Immersive Sound ว่าทำได้ดี มีความโอบล้อม ความต่อเนื่องได้ดีขนาดไหน

และแล้วก็ถึงเวลาฟังเสียงที่ออกมาจริงๆ กัน อย่างแรกที่อยากรู้เลยคือว่า เสียงความถี่ต่ำที่ทำการปรับโดย Manual แล้วตามด้วย Dirac จะดีขนาดไหน เลยลองคอนเสิร์ตที่มีเสียงกลองเพื่อดูความแน่น ความใหญ่ Impact ความเร็วของกลองว่าดีขนาดไหน ผลออกมาคือ ดีมากครับ เสียงมี Impact ที่พอดี ไม่มากจนรำคาญ หรือน้อยจนแทบไม่มีแต่อย่างใด เสียงมีความเร็ว ไม่เพี้ยน และไม่ฟ้องตำแหน่ง Subwoofer บางทีต้องเอาหูไปแนบที่ Subwoofer เพื่อให้แน่ใจว่ามันทำงานอยู่ เพราะเสียงความถี่ต่ำที่ออกมา มันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าออกมาจากตู้ Subwoofer เลย ส่วนที่ทำให้ Surprise อีกอย่างก็คือ ที่คิดไว้ว่าเครื่องตัวเล็กๆ จะขับลำโพงไหวหรือเปล่า นี่เอามาขับลำโพง NHT Classic 3 ที่แอมป์ทั่วไปถ้าไม่แน่จริงมีหวังขับลำโพงไม่ออก แต่ลองดูแล้วต้องบอกว่า ขับลำโพงได้สบาย หลุดตู้แบบเสียงยกออกมาขึ้นอยู่กลางจอเลย เรียกว่า T778 ยังคงความเป็น NAD อยู่เหนียวแน่นที่ให้พละกำลังมาดีมากเกินตัว

ลองดูคอนเสิร์ตเล่นเพลงแบบทั่วไป เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่งของ NAD อยู่แล้วไม่มีปัญหา เสียงดนตรีที่ออกมามีความเป็นธรรมชาติ ฟังได้สบาย เสียงแหลมไม่คมบาดหู ความถี่ต่ำมีความกลมกล่อม เข้ากับความถี่กลางที่ให้ความ Smooth เรียกได้ว่าถ้าเป็น Musical นี่ เข้าทางเขาล่ะ ไว้ใจได้

ลองกับคอนเสิร์ต Hans Zimmer – Live in Prague ที่เป็น Dolby Atmos พบว่า การโอบล้อม Immersive ทำได้ดีมีรายละเอียด สังเกตง่ายๆ จากเวลามีเสียงคนปรบมืออยู่ด้านหลัง แทบบอกได้เลยว่าตำแหน่งอยู่ตรงไหน ให้บรรยากาศล้อมรอบตัวเหมือนได้เข้าไปอยู่ในคอนเสิร์ตจริง เสียงดนตรีโดยรวมมีความน่าฟังไพเราะ ฟังได้แบบยาวไป

มาถึงบททดสอบที่หินอีกเรื่อง John Wick 3 โดย NAD T778 ยังทำได้ดีอยู่ไม่มีเป๋ เสียงปืน เสียงระเบิดต่างๆ มีรายละเอียด รวดเร็ว และ มี Impact แสดงถึงความแตกต่างของปืนแต่ละกระบอกได้อย่างชัดเจน เสียง Background Music มีความน่าฟัง ทำให้รู้สึก Smooth เข้ากับหนัง นั่งดูนานๆ แบบสนุก ไม่มีความรู้สึกเหนื่อย หรือล้าหูแต่อย่างใด

ที่ชอบอีกอย่างหนึ่ง และได้ใช้งานอยู่ตลอดก็คือ BluOS เนื่องจากว่าใช้งานได้ง่ายสะดวก เพียงแค่กดปุ่มเปิดเครื่องปุ่มเดียว แล้วเลือกเพลงในมือถือ แค่นี้ก็ได้เพลิดเพลินกับเสียงเพลงหลายแนว หลายรูปแบบ ที่มีมากมายนับไม่ถ้วน ที่สำคัญเสียงออกมาได้คุณภาพแบบ Musical ของ NAD ทั้ง Background Noise ต่ำ มีความเงียบสงัด ส่งผลให้เนื้อดนตรีออกมามีความโดดเด่น ไพเราะน่าฟังตามสไตล์ NAD เลย นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อไปยัง Zone2 และใช้ Remote ตัวเล็กแยกควมคุมได้ต่างหากอีกด้วย

สรุปแล้ว NAD T778 เป็น AVR ที่ให้ความคุ้มค่า มีศักยภาพของเครื่องสูง จุดเด่นอยู่ที่พละกำลังและคุณภาพของน้ำเสียงที่ออกมา มี App BluOS ทำให้การ Streaming เพลงเพื่อให้ได้เสียงดีเป็นเรื่องสะดวกง่ายดาย รองรับระบบ Immersive Sound ได้ทั้ง Dolby Atmos, DTS-X พร้อมมีเครื่องมือปรับจูนเสียงอัตโนมัติชื่อดังอย่าง Dirac Live มาให้ด้วย เรียกได้ว่าฟังเพลง ดูหนัง ดูคอนเสิร์ต ตอบโจทย์ได้หมด ทั้งยังมีเทคโนโลยีที่รองรับการ Upgrade เครื่องได้ในอนาคต ทำให้เครื่องไม่ล้าสมัย

ถ้าใครต้องการ AVR ที่จบในเครื่องเดียว ในราคาที่จับต้องได้ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ ครบครัน ต้องหาโอกาสลองฟังเสียงจาก AVR NAD T778 เครื่องนี้สักครั้ง รับรองจะไม่ผิดหวังครับ ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณบริษัท Conice Electronic ที่ได้ส่ง NAD T778 เพื่อมาทำการทดสอบในครั้งนี้ด้วย. VDP

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
บริษัท Conice Electronic จำกัด
โทร. 0-2276-9644