วีรเกียรติ จิรัฐการุณธ์

นักเขียน :  โรมัน, วีรเกียรติ จิรัฐการุณธ์

 Signature Series หรือ “รุ่นลายเซ็น” คือหมวดสินค้ารุ่นท็อปสุดของ LG ซึ่งเริ่มใช้ชื่อนี้ตั้งแต่ปี 2016 นั่นก็คือ OLED TV รุ่น G6 มีดีไซน์ที่หรูหราไฮไซ พร้อมอาณาบริเวณพื้นที่ดิสเพลย์พิเศษที่ทำไว้โดยเฉพาะ แต่จะพบได้เฉพาะ ประเทศโลกที่ 1 เท่านั้นในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างที่ผมไปเจอมากับตาก็ อาทิ ประเทศอังกฤษ ที่ห้างสุดหรูกลางกรุง ลอนดอนอย่าง Harrods หรือหากเป็นประเทศเกาหลีใต้บ้านเกิด ก็มีโชว์ขายที่ห้างไฮโซอย่าง Shinsegae และ Lotte ที่เปรียบดั่งสยามพารากอนบ้านเรา เพราะระดับราคาของมันสูงจนต้องขึ้นห้างระดับ 5 – 6 ดาวเท่านั้น ประกอบกับ พื้นที่ดิสเพลย์ต้องถูกตกแต่งให้เป็นธีม Signature เท่านั้น ส่วนในบ้านเราไม่มีขายสำหรับซีรี่ส์ G จะมีขายก็แต่รุ่นรองๆ ลงมา อย่างซีรีส์ E, C, B เท่านั้น

พอมาในปี 2017 ก็ต้องใช้คำว่า Dream Comes True หรือฝันที่เป็นจริง ประเทศไทยบ้านเราก็ไม่ถูกกั๊กรุ่นอีกต่อไป ได้ฤกษ์ เปิดตัว OLED TV Signature Series รุ่น G7 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดดเด่นที่ดีไซน์อันเฉียบคม พร้อมแท่งลำโพง Soundbar ที่สานต่อมาจากรุ่น G6 อันเป็นเอกลักษณ์ มาดูการทดสอบเจาะลึกกันดีกว่าว่า เจ้า G7 รุ่นนี้จะสมกับคำว่า “Signature Series” หรือรุ่นระดับ “ลายเซ็น” หรือไม่ ???

DESIGN – การออกแบบ

ดีไซน์ของ LG OLED TV 65G7T ก็สวยหรูใน แบบฉบับของทีวี OLED ตัวท็อป ความบางในจุดที่ บางที่สุดคือ 2.57 มิลลิเมตรเท่านั้น ตัวแผง OLED Panel มีความบางมาก จึงถูกยึดกับตัวกระจกอีก ชั้นหนึ่งเพื่อให้มีความแข็งแรง ด้านหลังเล่นเป็น ลวดลายคิวบิก 3 มิติ ฐานด้านล่างเป็นลำโพง ซาวด์บาร์ทรงเหลี่ยม รองรับระบบเสียง Dolby Atmos จากพวกแอพดูหนังในเครื่อง รีโมต คอนโทรลให้มา 2 แบบ คือ 1) Magic Remote บังคับเป็นแอร์เมาส์ได้เลย 2) รีโมตขนาดจิ๋ว โดยรีโมตทั้ง 2 มีการใช้โทนสี Brushed Gold ที่ดู แล้วหรูหรา คลาสซี่มีสไตล์

CONNECTIVITY – ช่องต่อ

เนื่องจากเป็นรุ่นท็อป พวกช่องต่อนั้นจัดให้ เต็มไม่มีกั๊กอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น HDMI ถึง 4 ช่อง, USB 3 ช่อง รวมถึงความสามารถในการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ตแบบไร้สายและมีสาย โดยใช้สาย LAN

• HDMI x 4
• USB x 3
• AV x 1 (ต้องใช้ Adapter)
• Component x 1 (ต้องใช้ Adapter)
• Antenna x 1 รองรับดิจิตอลทีวี
• Optical Out x 1
• LAN x 1
• Audio Out / Headphone 3.5 mm out x 1
• รองรับการเชื่อมต่อ Wireless LAN
• รองรับการเชื่อมต่อหูฟังและลำโพง Bluetooth

หมายเหตุ : การที่จะให้ช่องต่อ HDMI รองรับ สัญญาณ 4K HDR แบบเต็มประสิทธิภาพ จะต้องเปิด ฟังก์ชั่น HDMI Ultra HD Deep Color เสียก่อน

PICTURE – ภาพ

คุณสมบัติด้านภาพของ LG 65G7T มีความ ละเอียดหน้าจอ 4K Ultra HD 3840 x 2160 = 8.29 ล้านพิกเซล ใช้จอ OLED Panel ปี 2017 ซึ่งให้ระดับสีดำที่ดำสนิทกว่ารุ่นปี 2016 สังเกต ได้ว่าเวลาปิดเครื่องจอภาพจะเป็นสีดำสนิท ไม่เป็นสีไวน์แดง โครงสร้างพิกเซลเป็นแบบ WRGB แบบไฮเอ็นด์สูงสุด กล่าวคือ 1 เม็ดพิกเซลมีถึง 4 ซับพิกเซลย่อย ได้แก่… White Red Green Blue ทำให้จำนวนซับพิกเซลย่อยก็มีรวมกว่า 33.16 ล้านจุดเม็ดสี รองรับมาตรฐาน HDR: High Dynamic Range ทั้ง 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะ เป็น Dolby Vision, HDR10, และ HLG จัดว่า เป็นแบรนด์ที่รองรับมาตรฐาน HDR มากที่สุด ในปีนี้ มีโหมดภาพสำเร็จรูปหลากหลาย โดยเฉพาะ โหมด Expert ที่ถูกรับรองโดยสถาบันมาตรฐาน ภาพระดับโลกอย่าง ISF: Imaging Science Foundation โดยโหมดนี้ให้ค่าแสงสีได้ค่อนข้าง เที่ยงตรงตั้งแต่ต้น และยังสามารถเข้าไปปรับภาพ เบื้องลึกอย่างละเอียดเพื่อความถูกต้องสมบูรณ์ สูงสุดได้อีกด้วย

โหมดภาพสำเร็จรูป ที่แสงสีค่อนข้างถูกต้องแม่นยำได้แก่ Expert 1 (ISF Day) และ Expert 2 (ISF Night) ผมใช้โหมด Expert 2 ในการปรับภาพอย่างละเอียด

ค่าก่อนปรับภาพ สมดุลแสงขาวได้ “ดีมาก” ตั้งแต่ต้น แต่ในช่วงระดับความสว่างสูงๆ อาจจะยัง ไม่เข้าที่สมบูรณ์นัก วัดความกว้างของขอบเขตของสีได้ 99.8% ของมาตรฐาน REC 709

หลังปรับภาพ ทั้งค่า White Balance แบบ 20 จุดอย่างละเอียด พร้อมขอบเขตของการแสดงเฉดสีแม่สีหลักและรอง หรือ CMS ภาพที่อยู่ในเกณฑ์ดีเลิศเลยขอบเขตของสีอยู่ราว 99.6% ของมาตรฐาน REC 709

ค่าก่อนปรับภาพ 4K HDRวัดความกว้างของขอบเขตสีได้ 95.6% ของมาตรฐาน DCI-P3

ค่าหลังปรับภาพ 4K HDR ขอบเขตของสีทำได้ประมาณ 95.8% ของมาตรฐาน DCI-P3ส่วนระดับความสว่างสูงสุดจะอยู่ประมาณ 650 nits ซึ่งผ่านข้อกำหนดของ Ultra HD Premium ที่ 550 nits ส่วนโหมด Cinema Home เป็นโหมดที่ให้ความสว่างสูงสุดราว 752 nits ซึ่งสูงกว่าตัว OLED TV รุ่น B7 ด้วยเหตุผลของเมนบอร์ดและภาคจ่ายไฟที่ดีกว่า

ทดสอบด้วยแผ่น 4K Ultra HD Blu-ray แท้ๆ เรื่อง Jason Bourne ภาคล่าสุด คาแร็กเตอร์ภาพ OLED แสดงออกมาได้เด่นชัด คือ มีความเข้มข้น ของเม็ดสี สามารถถ่ายทอดรายละเอียดบนใบหน้าอันตึงเครียดของพระเอก Matt Damon ออกมาได้อย่างหมดจด เผยให้เห็นริ้วรอยบนหน้าผากอัน เหี่ยวย่น เส้นผมที่ดูร่วงโรยตามอายุ ถึงแม้เรื่องนี้เป็นหนังแอ็กชั่นไล่ล่าแบบ ปกติ มิได้มีฉากแสงสีจัดจ้านเพื่ออวดพลานุภาพของ HDR มากนัก แต่ก็เอา ไว้อ้างอิงเช็คความถูกต้องของสีผิวคนและวัตถุได้อย่างดี ซึ่ง G7 ก็ไม่ทำให้ ผิดหวังแต่อย่างใด ให้คุณภาพได้ในระดับท็อป ส่งผ่านความรู้สึก “ลุ้นระทึก” ผ่านตัวละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ผลลัพธ์คือ อรรถรสการรับชมนั้น มันส์สะเด่ากว่าดูผ่าน LED LCD TV ทั่วไปหลายขุม

สีหน้าของเฮีย Matt Damon ที่ดูเครียด และอิดโรย เวลาดูผ่าน OLED มันจะเข้มข้น สมจริง ส่งอารมณ์ตึงเครียดและลุ้นระทึกมา ให้เราดูหนังมันส์ขึ้น

ถัดมาทดสอบเรื่อง Ghost Buster: Answer The Call ภาคล่าสุด ในฉากที่ เหล่าสาวๆ นักล่าผีปะทะกับผี เป็นฉากที่เอาไว้ทดสอบเอฟเฟ็กต์ HDR ได้เป็น อย่างดี ปืนลำแสงถูกสาดออกมาได้อย่างสว่างไสว สีแดงวาววับถูกเปล่งออก มาอย่างเจิดจรัส ลำแสงทะลักพื้นที่ภาพส่วนหลักออกมาแสดงบนแถบ Black Bar บนและล่าง จนมีกลิ่นอายความเป็นภาพ 3 มิติไปโดยปริยาย รวมถึงฉาก ผีมังกรทะยานออกมานี่ก็แทบทะลุจอออกมา สีเหลืองสลับเขียวก็จำแนกไล่เฉด ได้ดี เม็ดสีมีประกาย เรียกได้ว่าเตะตาสะใจ เนื่องจากเม็ดพิกเซลของ OLED สามารถปิดดับได้สนิท พื้นหลังที่ดำสงัดเช่นนี้ช่วยยกระดับสีสันต่างๆ ให้สด ป๊อปอัพขึ้นอย่างเห็นผล ยิ่งปิดไฟห้องมืดก็สดสกาวอย่างน่าอัศจรรย์ ท้าให้ ผู้ถือครอง LG OLED TV ทุกท่าน ลองพิสูจน์ดูด้วยตาตนเอง

สีเหลืองสลับเขียวอันเจิดจรัสของเจ้าผีมังกรจุดที่ G7 OLED ทำได้แต่ทีวีทั่วไปทำไม่ได้ คือ “ความวาววับ”ซึ่งทำให้ภาพดูมีมิติขึ้นมาก

สีแดงจากปืนลำแสงถูกยิงออกมาทะลุจอมาแสดงบนพื้นที่ Black Bar ที่ดำสนิทส่งผลให้ภาพก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆได้กลิ่นอายความเป็น 3 มิติ

ซึ่งภาพ Dolby Vision ก็จัดว่าชัดโดดเด้ง ส่วนโหมดภาพที่แนะนำสำหรับการเล่น HDR ประเภทนี้คือCinema Home = ดูตอนกลางวัน Cinema = ดูตอนกลางคืน หรือปิดไฟมืดสนิท

อย่างเรื่อง Okja จาก Netflix นี่เป็น HDR แบบ Dolby Vision ซึ่งเจ้า OLED G7 ก็รองรับโดยการเด้งโชว์โลโก้มุมขวาบน ในปีนี้ก็คงมีเพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้นที่รองรับ Dolby Vision ซึ่ง LG ก็คือเจ้าแรกสุด

ในส่วนของ Motion ภาพเคลื่อนไหว สามารถใช้ฟีเจอร์ TruMotion แทรก เฟรมภาพช่วยให้ภาพลื่นไหลเป็นธรรมชาติขึ้นอีกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากดูกับคอนเทนต์ HD/Full HD จะช่วยลดอาการอ่อนล้าของภาพลง เปลี่ยนให้สมูธเนียนตาขึ้นอย่างชะงัก แนะให้เปิดระดับคือ User ซึ่งเราสามารถ เข้าไปปรับค่าเพื่อลดภาพเบลอ (De-Blur) และลดอาการกระตุก (De-Judder) ได้เองแบบแมน่วล แล้วให้ปรับ De-Judder หรือลดอาการกระตุกของภาพให้ เป็น 3 ส่วน De-Blur หรือลดอาการเบลอของภาพ ปรับแล้วไม่ค่อยเห็นผล ต่างเท่าไหร่นัก ฉะนั้น เซ็ตไว้สัก 2 – 3 ให้สอดคล้องกันไว้ก็ได้ ส่วนระดับอื่น อย่าง Smooth นี่จะก่อให้เกิดวุ้นเรืองแสงรอบตัวละครและวัตถุ จึงไม่แนะนำอย่างแรง ส่วนระดับ Clear ก็จัดว่าลื่นไหลใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าระดับ User ที่เราปรับเองข้างต้น เพราะในระดับ Clear นี้ หากสังเกตแบบจับผิดจริงจะยัง แอบเห็นวุ้นเรืองแสงเล็กๆ อยู่เล็กน้อย

TruMotion คือฟีเจอร์แทรกเฟรมภาพที่ช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวลื่นไหลขึ้นสามารถเลือกเข้าไปปรับฟีเจอร์ลดอาการเบลอและกระตุกของภาพได้

Input Lag

ค่า Input Lag คือ ค่าความดีเลย์ต่อการตอบสนองต่อคำสั่งจอยเกมส์ ยิ่งมีน้อยยิ่งดี หากเปิดโหมด Game ค่า Input Lag ลดลงเหลือเพียง 21.3 ms เท่านั้น ซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมมาก โดยหากให้เทียบกับการปิดโหมด Game แล้วไปใช้โหมดภาพทั่วไป ค่า Input Lag จะดีดสูงขึ้นไปถึง 80 ms ฉะนั้น หากเล่นเกมส์ก็แนะนำใช้โหมด Game ได้เลย

สรุปเรื่องภาพ

โดดเด่นด้วยความสามารถที่เม็ดพิกเซลสามารถกำเนิดแสงสีได้ด้วยตัวเอง จึงช่วยการแสดงสีดำให้ดำสนิท เป็นรากฐานที่สำคัญที่ช่วยสำแดงพลังภาพ HDR ออกมาได้อย่างเจิดจรัสเตะตาทั้งมาตรฐาน Dolby Vision ซึ่งแทบเป็น เจ้าเดียวที่รองรับ ณ ตอนนี้ และ HDR10 ในขณะที่ภาพ SDR แบบปกติ ก็มีความเข้มข้นโดดเด้งไม่แพ้กัน โดยส่วนตัวทำให้ผมดูพวกเกมส์โชว์ตาม ช่องดิจิทัลทีวีสนุกขึ้นด้วย เรื่องความถูกต้องของสีสันทำได้ดีกว่า OLED TV ของปีก่อน สมดุลแสงขาวและขอบเขตของสีกว้างขึ้น คุณภาพโดยรวมก็อยู่ ใน “ระดับดีเลิศ” อย่างมิต้องสงสัย

ส่วนคำถมที่ว่LG OLED TV รุ่น G7 ต่งกับรุ่น B7 อย่งไร?

คำตอบคือ G7 ให้ความสว่างสูงสุด Peak Brightness ได้สูงกว่าราว 20 – 80 nits แล้วแต่โหมดภาพ ด้วยเหตุผลที่ขนาดของเมนบอร์ดที่ใหญ่กว่า ตลอดจน ภาคจ่ายไฟมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า (คาดว่าเอาไปหล่อเลี้ยงลำโพง Soundbar ที่มีขนาดใหญ่) ก่อนปรับภาพ B7 จะติดโทนเย็นกว่านิดๆ ในขณะที่ G7 สมดุลสี จะดีกว่าตั้งแต่ต้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามก็ค่อนข้างจำแนกความแตกต่างได้ยาก หากสกิลตาไม่เทพจริง ส่วนหลังปรับภาพนั้นเป็นบุคลิกภาพโทนเดียวกัน เป๊ะเลย ไม่หนีกัน ประหนึ่งพี่น้องคลานตามกันมา

SOUND – เสียง

ลำโพงของ LG G7 OLED TV เป็น Soundbar สี Rose Gold ดูหรูหรา ผมชอบสีนี้เป็นพิเศษ เพราะชื่นชอบนาฬิกาข้อมือที่ใช้ Rose Gold เป็น ส่วนประกอบ คือมันดูสวยแพงแบบทันสมัย ไม่ได้ดูป๋าเหมือนพวกสีทองที่มัก จะเหลืองจ๋า กำลังขับของ Soundbar ตัวนี้สูงถึง 60 Watts ไฮไลต์คือ รองรับ ระบบเสียง Dolby Atmos ซะด้วย

Dolby Atmos คือระบบเสียงรอบทิศทางแบบใหม่ล่าสุด ที่เพิ่มมิติเสียง รอบทิศทางด้านบน Top Surround ด้วยลำโพงบนเพดาน เพื่อสร้างสนามเสียง ให้ครอบคลุม 360 องศา แต่ของ LG G7 เป็นลักษณะของการจำลองเสียง แบบ Dolby Enabled Speaker คือยิงเสียงจากลำโพง Soundbar ขึ้นเพดาน แล้วชิ่งลงมายังผู้รับชมแทน การรองรับระบบเสียง Dolby Atmos นั้นจะผ่าน การสตรีมมิ่งบนแอพในตัวเครื่องเท่านั้น อย่างเช่น เรื่อง Okja ใน Netflix เป็น ระบบเสียง Dolby Atmos ให้แต่ต้นเลย ส่วนหากคอนเทนต์ที่ดูผ่าน HDMI จะสามารถจำลองเสียงจากแบบปกติให้มีความใกล้เคียง Dolby Atmos ได้ สามารถเข้าไปเลือกปรับใช้ฟีเจอร์จำลองเสียงนี้ได้ที่เมนูด้านใน

คุณภาพเสียงโดยรวมก็จัดว่ามีความหนักแน่นกว่าซีรีส์ E ที่เป็นลำโพง Soundbar เหมือนกัน แต่ให้พื้นที่ด้านหลังสำหรับการบรรจุลำโพงนั้นตื้นกว่า ซีรี่ส์ G จึงเป็นข้อได้เปรียบของเจ้า G7 ที่จัดเต็มดอกลำโพงไว้ด้านใน ทดสอบ จากเพลง I saw her standing there ในคอนเสิร์ตของป๋า Billy Joel ที่ ได้ Paul McCartney แห่งวง The Beatles มาฟีเจอริ่ง ซึ่ง G7 ก็ถ่ายทอด เพลงออกมาได้ค่อนข้างสนุก เบสมีน้ำหนัก ฟังแล้วคึกคัก ส่วนการดูหนังก็ยก ระดับจากลำโพงทั่วไปแบบขาดลอยเช่นกัน ฟังแล้วสนุก ไม่มีอาการเหือดแห้ง โผล่ออกมาให้ได้ยิน ติเล็กน้อยเรื่องความใส เพราะมิได้ใสปิ๊งดั่งตาตั๊กแตนนักส่วนเรื่องมิติเสียงของ Dolby Atmos ก็อาศัยหลักการยิงเสียงขึ้นบนเพื่อชิ่ง ลงมาเพื่อสร้างสนามเสียงด้านบน ระดับความลอยที่ ได้จริงก็อยู่ประมาณหนึ่ งคือ ประมาณด้านบนสุดของจอ อาจจะไม่สูงเหนือหัวจริงแบบลำโพงฝังเพดาน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระดับความสูงเพดานด้วยว่ายิ่งต่ำจะยิ่งเห็นผล หากเพดานสูงไม่เกิน 2.7 เมตร พร้อมระยะนั่งรับชมไม่เกิน 2.75 เมตร จะยังรู้สึกถึงมิติความลอยได้อยู่ เป็นกิมมิคลูกเล่นด้านเสียงที่พอเอามาใช้งานกล้อมแกล้มได้

EXTRA – เพิ่มเติม

webOS ยังคงเป็นระบบปฏิบัติการคู่บุญของ LG Smart TV มาถึง 4 เจเนอเรชั่นด้วยกัน ตั้งแต่ 1.0 / 2.0 / 3.0 และมาในปี 2017 นี้ก็เดินทางมา ถึงเวอร์ชั่น 3.5 ซึ่งลูกเล่นและความคล่องตัวก็อัพเกรดขึ้นมาตามลำดับเช่นกัน แต่จุดเด่นคือ เรื่อง “การใช้งานที่แสนง่าย” ด้วย Magic Remote ตัวเก่ง ที่มี การใช้งานแบบ “แอร์เมาส์” พร้อม “ลูกศร” บอกตำแหน่งโชว์บนหน้าจอทีวี มีแอพพลิเคชั่นให้ดาวน์โหลดพอประมาณ ทีเด็ดสุดผมยกให้ Netflix แอพดูซีรี่ส์ และหนังของต่างประเทศ ที่มีซีรี่ส์ความละเอียด 4K พร้อม HDR ติดมาให้ด้วย ซึ่งในตอนนี้ซีรี่ส์และหนังใน Netflix มีมาตรฐาน Dolby Vision ที่ LG G7 ตัวนี้รองรับ ให้ทดสอบรับชมกันอยูหลายเรื่อง ส่วนแอพดูหนังและซีรี่ส์หลักๆ ก็ยังมีให้ครบ อาทิ YouTube, MonoMaxx, Google Movies, Amazon ในขณะที่แอพเกมส์ ก็เล่นพอขำๆ ได้ บางเกมส์ก็ใช้ Magic Remote ควบคุมแบบแอร์เมาส์ได้ด้วย

webOS 3.5 มีลูกเล่นปลีกย่อยเพิ่มเติมขึ้นมาหลายจุดอยู่ ได้แก่

1) การรับชมคอนเทนต์ VR แบบ 360 องศา
2) การเล่นไฟล์เพลงจาก USB ในขณะที่เปิดช่องรายการต่างๆ อยู่ตลอดจนดูเนื้อร้อง (ไฟล์ต้องมีเนื้อร้อง)
3) การเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือด้วยแอพ LG TV Plus
4) ฟีเจอร์ซูมภาพแบบ Picture in Picture ในต􀄞ำแหน่งที่ต้องการพร้อมบันทึกวีดีโอที่ซูมลงใน USB
5) Magic Link ที่จะช่วยค้นหาและดึงวิดีโอคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับรายการดิจิทัลทีวีที่เรารับชมอยู่มาจัดแสดงให้เราเลือกรับชมเพิ่มเติม

แผงเมนูหลักของ webOS 3.5 ที่รวมแอพเด็ดๆ ที่ใช้บ่อยเอาไว้หน้าแรกวิธีการเรียกแผงนี้ขึ้นแสดงหน้าจอก็เพียงแค่กดปุ่ม Home

แอพ LG TV Plus แนะนำให้โหลดติดมือถือไว้ได้เลย เป็นแอพที่ทำให้ท่านใช้มือถือควบคุมทีวีได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการแชร์วิดีโอไปเล่นบนจอทีวี การเลือกเล่นตอนบนแอพหนังซีรี่ส์ต่างๆได้สะดวกขึ้น หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนมือถือให้เป็นรีโมตคอนโทรลเต็มรูปแบบ

CONCLUSION – สรุป

1) ดีไซน์สวยเฉียบคมสมเป็น Signature Series
2) ระดับสีดำที่ดำสนิท ส่งเสริมให้แสดงสีสันได้เจิดจรัส
3) รองรับมาตรฐานภาพ HDR แบบ Dolby Vision
4) มีโหมดภาพ Expert ISF ที่ให้แสงสีเที่ยงตรง พร้อมโหมดปรับภาพอย่างละเอียด
5) webOS 3.5 พร้อม Magic Remote ใช้งานได้ดีและง่าย
6) รองรับระบบภาพ HDR และเสียง Dolby Vision และ Dolby Atmos ใน Netflix
7) ฐานตั้งกว้างมาก ตรวจสอบชั้นวางทีวีที่บ้านให้ดี
8) เอฟเฟ็กต์เสียง Dolby Atmos หากให้เห็นผลเพดานต้องต่ำไม่ควรเกิน 2.7 เมตร
9) G6 ปีที่แล้วมี 3D แต่ G7 ไม่มีแล้ว แอบเสียดาย 3D ที่หายไปทั้งตลาด
10) ราคาค่อนข้างกระโดดไปไกลจากพวกซีรี่ส์ E และ B

สรุป

LG 65G7T Signature Series OLED TV คือทีวีระดับท็อปคลาส ทั้งใน แง่ของงานดีไซน์ไปจนถึงคุณสมบัติความเป็นทีวีที่เหนือกว่าทีวี! การออกแบบ ของ Signature Series จัดว่าสวยคม หรูหราทั้งรูปลักษณ์และวัสดุ ไม่ว่าจะ แขวนหรือตั้งโต๊ะก็สวยสะท้านทั้งคู่ หรือไม่ว่าจะเปิดหรือปิดภาพ ก็ยังคงแผ่รัศมี ความ Extravagance หรูหราไฮโซเอาไว้ทั่วห้อง คุณภาพของภาพก็อยู่ในเกณฑ์ “ดีเลิศ” แทบไม่มีจุดให้ติ สีดำดำสนิท ส่งผลให้การแสดงแสงสีนั้นทะยานไปได้สุด กระแทกให้มิติภาพมีความหลุดลอย จนได้กลิ่นอายเป็นภาพ 3 มิติโดยมิต้องใส่แว่น จุดเด่นที่ฉีกหนีชาวบ้านคือ รองรับมาตรฐาน HDR ขั้นสูงสุดในตลาดอย่าง Dolby Vision ในขณะที่ค่ายอื่นส่วนใหญ่จะไม่รองรับ หรือถึงจะรองรับก็ต้องรออัพเดต เฟิร์มแวร์ภายหลัง ระบบเสียงก็เป็นทีวีรุ่นแรกๆ ที่รองรับ Dolby Atmos เป็นการ ผนึกกำลังมาตรฐานภาพและเสียงระดับท็อปจากค่าย Dolby เอาไว้ภายใน เครื่องเดียว สุดท้ายมีระบบ Smart TV อย่าง webOS 3.5 เคียงคู่ Magic Remote ชิ้นงาม ซึ่งเนื้อแท้ของ webOS คือการใช้งานอันแสนง่ายดาย มีแอพดูหนังและ ซีรี่ส์หลักๆ ให้เลือกรับชมอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะ Netflix นี่มีซีรี่ส์ภาพแบบ 4K Dolby Vision ให้เลือกดูอยู่หลายเรื่อง จึงสามารถใช้ประสิทธิภาพสูงสุดของ G7 ได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่เปิดเครื่องครั้งแรก

สรุปว่า หากมีงบประมาณสูงจัด แล้วต้องการ “สุดยอดภพ” ภายใต้ “สุดยอดงนดีไซน์” LG OLED TV G7 Signature Series ตัวนี้ ตอบโจทย์ ทุกข้อ คู่ควรกับชื่อซีรี่ส์ระดับ “ลยเซ็น” เป็นทีวีที่มีตั้งไว้กลางบ้านแล้วยกระดับ บารมีเจ้าสัวสุดๆ…ฟังธง!!!. VDP

ราคา 249,990 บาท
จัดจำหน่ายโดย บริษัท แอลจี อีเล็กทรอนิกส์ จำกัด
โทร. 0-2878-5757